วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

ภษคส : 18 B, I'm sorry.



18



B, I’m sorry.



                ทุกๆ วันของแบคฮยอนคือความสุขที่ได้อยู่กับลูกชายน่ารักและสามีที่เอาใจใส่ สามีขับรถมาส่งที่บริษัท พอเขาเลิกงานก็จะเห็นสามีและลูกชายมานั่งรอที่สตาร์บัคส์ทุกวัน

                แต่เขาสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดและความรู้สึกที่จืดจาง



                ชานยอล สามีของเขาหรือที่เรียกว่าเป็นทั้งเพื่อน พ่อ พี่ชาย คนที่รักเขาและคนที่เขารัก... เป็นทุกอย่างในชีวิตของบยอนแบคฮยอน เป็นทุกๆ อย่าง...

                ทำงานหนักมากเสียจนพวกเขาแทบจะไม่ได้เจอกัน

                ตอนกลางวันเขาก็ทำงานตามปกติ แต่ตอนกลางคืน... หลังจากที่พาแบคฮยอนกับเซฮุนมาถึงคอนโดแล้ว เขาก็จะขับรถออกไปและบอกว่า 

                มีงานค้าง’, ‘มีโปรเจ็กต์ใหญ่’, ‘จะสร้างโรงเรียนสาขา


                เขาซื้อรถเบนซ์ให้แบคฮยอนขับด้วย ส่วนตัวเองก็ขับรถคันเก่าต่อไปโดยไม่รังเกียจ

                ทุกอย่างเหมือนดูดี...
                



                ...


                ในทุกวันนี้ โรงเรียนโซลศึกษามีสาขาทั่วกรุงโซลสามแห่ง และถ้านับรวมๆ ทั่วประเทศเกาหลีแล้วล่ะก็... มีอยู่สิบสาขาเลยทีเดียว

                แบคฮยอนไปที่ไหนก็ภูมิใจ มีแต่คนชื่นชมสามีของเขาว่าทำงานหนักและถีบตัวเองจนประสบความสำเร็จ แบคฮยอนยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินเช่นนั้น...

                แต่ก็ยิ้มได้แค่ชั่วคราว



                สามีของแบคฮยอนมักจะไม่กลับมาที่บ้านและใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงเรียน เขามักจะไปเยี่ยมโรงเรียนสาขาอยู่บ่อยๆ จนไม่ได้กลับมาบ้านเลย


                บางครั้งก็ไปโดยลืมวันเกิดแบคฮยอน

                บางครั้งก็ไปโดยลืมวันเกิดเซฮุน

                บางครั้งก็ไปโดยลืมวันไหว้ป๊าชุน, ลืมวันไหว้พ่อแม่ของแบคฮยอน

                และคนที่บากหน้ารับเรื่องราวทุกอย่างคือ บยอนแบคฮยอนแต่เพียงผู้เดียว...



                อีกอย่าง... ทุกครั้งก็ไปที่อื่น... โดยลืมวันครบรอบแต่งงาน

                วันที่ 28 สิงหาคม



                ...




28 สิงหาคม


                “อ้าว วันนี้กลับบ้านหรอ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟในห้องนอนเปิด คนที่คุ้นเคยเดินเข้ามาพร้อมถอดเนคไทออกลวกๆ และล้มตัวลงนอนบนเตียง

                “อือ” ชุนตอบในลำคอและนอนตะแคงไปอีกทาง


                ผมกัดริมฝีปากล่างและนั่งมองแผ่นหลังกว้างอยู่อย่างนั้น


                “เหนื่อยมั้ย... เดี๋ยวนวดให้นะ” ผมก้มลงไปกระซิบเบาๆ แต่ชุนก็ยกมือขึ้นห้าม

                “ไม่ต้องอ่ะ นอนเหอะ” ชุนขยับตัวอีกสองสามทีและผมก็ไม่รู้ว่าชุนหลับไปตอนไหน ส่วนผมได้แต่นั่งมองแผ่นหลังนั้นจนในที่สุด... น้ำตาก็ไหลออกมา


                มันจะระเบิดแล้ว

                ความรู้สึกในสมองมันจะระเบิดออกมาหมดแล้ว


                “ชานยอล...” ผมพึมพำออกมาเบาๆ... รู้ว่าเรียกไปคนตรงหน้าก็ไม่ได้ยิน

                “...”

                “บุ๊ครักชุนนะ”


 

**********





                ผมยันตัวเองออกจากเตียงแต่เช้า... เช้าเกินกว่าที่คนบางคนจะตื่น และผมก็รีบปลุกลูกชายให้ตื่นด้วย เซฮุนตอนนี้ที่โตขึ้นมาก... เขาจัดการตัวเองในตอนเช้าได้แล้วและมีแฟนเป็นนังหนูซูจองนั่นแหละ (เหมือนซูจองจะลืมสามีผมได้และหันมาชอบลูกชายแทน)


                “เซฮุน เดี๋ยววันนี้ม๊าพาไปโรงเรียนเองนะ”

                “ครับ” และผมก็ชอบที่ลูกพูดคำว่าครับได้ถูกต้องเสียที

                “แล้วก็... วันนี้ม๊าจะพาไปนอนบ้านน้าจีฮเยนะ” ผมไม่ค่อยอยากจะพูดความจริงข้อนี้ซักเท่าไหร่ แต่ก็พูดออกไปแล้ว...


                ลูกชายแสนดีมองกระเป๋าเดินทางสองใบของผมแล้วก็รีบเงยหน้ามามองผมด้วยสีหน้าตกใจ


                “ม๊า...

                “...”

                “ม๊าทนไม่ไหวแล้วหรอครับ”

                “จ้ะ...” ผมยิ้มให้ลูกจนตาปิดและนั่นก็ยิ่งเร่งให้น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมาง่ายๆ 
 
                “ไม่เป็นไรนะ ผมจะอยู่กับหม่าม๊าเอง...” เซฮุนเดินเข้ามาจับมือผมเบาๆ และบีบให้กำลังใจ ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่... แต่ผมร้องไห้ไม่หยุดและสะอึกสะอื้นไปตลอดทางที่ขับรถไปส่งลูก

                ผมได้รับมิสคอลหนึ่งครั้งจาก

                และก็ไม่ได้รับอะไรจาก อีก
                




                หลังเลิกงาน ผมลองชะโงกหน้าไปดูในสตาร์บัคส์... แต่ก็ไม่เห็นสามีอีกตามเคย เห็นแต่เซฮุนนั่งทำการบ้านและมีช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปครีมสองแก้ววางอยู่บนโต๊ะ


                “มาแล้ววววว >_< วันนี้บนรถเมล์คนเยอะรึเปล่าลูก” ผมเดินไปทักและนั่งลงฝั่งตรงข้าม เซฮุนคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะรีบเก็บการบ้านใส่กระเป๋า

                “คนไม่เยอะเลยครับ ผมได้นั่งด้วยแหละ” ผมสอนให้เซฮุนเริ่มขึ้นรถเมล์ตั้งแต่ที่เซฮุนขึ้นป.สาม เพราะช่วงหลังๆ มานี้สามีไม่ค่อยว่างมาส่งเซฮุนที่บริษัทผมเลย

                “กลับกับซูจองรึเปล่าลูก”

                “เปล่าครับ วันนี้แม่ซูจองมารับ ส่วนอันนี้... ผมซื้อมาฝากม๊าแก้วนึง”

                “ฮ่าๆๆๆ มีตังค์จ่ายหรอเรา?” ผมหยิบกระเป๋าเป้ของลูกขึ้นมาสะพายที่หลังตัวเอง และหยิบช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปครีมมาถือ ก่อนจะยื่นมือไปให้ลูกจับ 


                ถึงเซฮุนจะอายุสิบขวบแล้ว... แต่ก็ยังยอมให้ผมเดินจับมือด้วยเสมอ


                “นี่เงินเก็บผมทั้งอาทิตย์เลยนะ T__T

                “เดี๋ยวม๊าเอาเงินคืนให้ละกัน คิกๆๆ” ผมหัวเราะคิกคักก่อนจะพาลูกเดินที่ไปเบนซ์คันงาม ตอนนี้ข้างในท้องผมโหวงไปหมด... นึกถึงหน้าคนให้รถคันนี้มาแล้วก็อยากจะร้องไห้อีกครั้ง

                “น้าจีฮเยจะไม่ว่าหรอครับ”

                “ไม่ว่าหรอก ม๊าโทรไปบอกมันแล้ว”




**********





                “น้ำอุ่นเปิดตรงนี้นะ ส่วนเตาแก๊สก็เปิดตามปกติ... แล้วก็... ฮีทเตอร์เปิดตรงใต้บันได เข้าใจกูมั้ยเนี่ย” จีฮเยยืนชี้นู่นชี้นี่จนผมแทบมึนหัว แต่ก็พยักหน้ารับ

                “เข้าใจ”

                “มึง... แน่ใจหรอวะ” จีฮเยหันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง ผมเหลือบมองเห็นแหวนเพชรสองกะรัตในนิ้วนางข้างซ้ายของจีฮเยแล้วก็ถอนหายใจออกมา...


                จื่อเทาเป็นน้องที่ดีของผมเสมอ เขาหาผู้ชายให้จีฮเยจนได้ และผู้ชายคนนั้นก็ดีเสียจนผมตกใจ...

                เขาเป็นประธานบริษัทที่จื่อเทาทำงานอยู่ ตอนแรกก็กะจะแต่งงานหนีภาษีด้วยกันเฉยๆ แต่ตอนนี้จีฮเยมีลูกแฝดไปแล้วและทั้งคู่ก็รักกันมาก

                ส่วนบ้านหลังนี้... จีฮเยให้เหตุผลที่ยังไม่ขายทิ้งว่า

                เผื่อทะเลาะกับพี่เค้า จะได้หนีมานอนนี่
                


                แต่คงจะเป็นผมมากกว่าที่ได้ใช้บ้านหลังนี้...



                “กูไม่รู้... กูแค่อยากพักหัวใจบ้าง”

                “แล้วมึงนอนคนเดียวได้หรอวะ มึงต้องนอนกับชุนตลอดหนิ”

                “ก็...” ผมลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ตอนแรกกูก็นอนไม่หลับ แต่ตอนนี้กูชินแล้ว... กูนอนคนเดียวได้แล้ว”

                “โทรบอกโด้เรื่องนี้รึยัง” 

                “ยัง กูกลัวมันบินกลับมาด่าชุน” ผมพูดแล้วนั่งลงบนโซฟา เห็นเซฮุนกำลังวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนชั้นสองเหมือนได้บ้านใหม่

                “ฮ่าๆๆๆ ไม่มีใครด่าชุนได้นอกจากมึงหรอก”


                จีฮเยพูดอะไรผมไม่เข้าใจซักนิด ผมไม่เคยด่าชุน... แม้แต่คิดก็ไม่เคย ชุนคือหัวใจของผม แล้วผมจะด่าหัวใจตัวเองทำไม





                ไม่นานนักจีฮเยก็ลากลับ เห็นบอกว่าสามีคิดถึง...

                ผมพาเซฮุนไปหาพ่อกับแม่ที่อยู่บ้านข้างๆ รั้วติดกัน พ่อแม่ผมเองก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมอยู่แล้ว และพวกท่านก็ทำให้ผมน้ำตาไหลอีกครั้งเมื่อท่านกล่าวว่า

 
                ถ้าไม่มีใครรัก ก็รู้ไว้ว่าพ่อแม่รักหนูมากนะลูก



                ผมรักพ่อกับแม่...

                ผมรั...



                ครืดดดดดดดดดดดดดด
                เสียงโทรศัพท์ผมสั่น

               


                “ฮัลโหล” ผมรับสายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ตอนนี้ผมกำลังจะเข้านอนและเซฮุนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็คงจะหลับไปแล้ว 

                (อยู่ไหน)

                “ชุน...” ผมสัมผัสได้ว่าขอบตาเริ่มร้อน ผมไม่รู้ว่าวันนี้ผมเสียน้ำตาไปกี่ลิตรแล้ว แต่ผมคงกำลังจะเสียอีกล้านลิตร

                (เซฮุนก็ไม่อยู่ ไปเที่ยวกันหรอ)

                “ชุน...”

                (...)

                “ชุนรักบุ๊คบ้างมั้ย” มันไม่ง่ายเลยที่ประโยคนี้จะหลุดออกมาจากปากผมได้ 

                (เป็นอะไร) ปลายสายเสียงทุ้มหนักกว่าเดิมอีก

                “ชุน... ถึงชุนจะไม่รักบุ๊ค แต่บุ๊ครักชุนนะ รัก.... โคตรรักเลย” ผมหยิบหมอนข้างขึ้นมากอดและฝังหน้าลงไปในนั้น กลั้นเสียงสะอื้นให้ได้มากที่สุดเพราะกลัวว่าชุนจะ...


                สงสาร


                (ทำไมพูดแบบนี้ ตกลงว่าอยู่ไหน)

                “ชุนไม่ต้องรู้หรอกว่าบุ๊คอยู่ไหน... แต่บุ๊คจะพยายามอยู่ห่างจากชุนให้ได้มากที่สุด จะไม่ไปรบกวน จะอยู่เงียบๆ... จะไม่ทำให้ชุนรำคาญเลยนะ สัญญา”

                (ใครพูดอะไรให้ฟังอีก)

                “บุ๊ครักชุนมากๆ ฝากบอกชุนด้วยนะ...”

                (...)

                “ชานยอล” ผมทิ้งท้ายไว้แบบนั้นและกดวางสาย 


                และทั้งคืนผมก็ได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์แค่ครั้งเดียว




**********





วันรุ่งขึ้น


                ผมรอให้แบคฮยอนขับรถออกไปจากโรงเรียนและผมก็เดินไปหาลูกชายที่กำลังเดินอยู่คนเดียว เด็กน้อยแอบสะดุ้งเบาๆ ที่เห็นหน้าผมและมองหันรีหันขวางอย่างเลิ่กลั่ก


                “ม๊าเป็นอะไรครับลูก” ผมนั่งยองๆ ลงไปถาม จับไหล่ลูกชายไว้เพราะอยากให้รู้ว่าพ่อยังอยู่

                “ม๊ารักป๊า... ผมรู้แค่นี้”

                “ป๊าก็รักม๊าเหมือนกัน แล้วนี่สองแม่ลูกไปไหนกันมา?” ผมแอบสะดุ้งกับคำตอบของลูก แต่ก็พยายามกัดฟันถามต่อ

                “ผมว่าม๊าคงไม่อยากให้ผมบอก...”

                “ม๊าโกรธป๊าหรอ?”

                “ถ้าป๊ารู้ว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร ผมถึงจะยอมตอบคำถาม” เซฮุนแกะมือของผมที่อยู่บนไหล่แกออกช้าๆ และเดินไปที่ตึกเรียนเงียบๆ 

                เมื่อวาน...


                วันพฤหัส
                ที่ 28
                สิงหา
                

                วันครบรอบแต่งงานสี่ปี



                “ไอสัส” ผมพึมพำออกมาเบาๆ และก้มหน้าอย่างหัวเสีย ผมลืมอีกแล้ว... ลืมเป็นครั้งที่สาม... ลืมแม่งทุกที ลืมตลอดชาติ เหี้ยยังไงก็เหี้ยอย่างนั้น


                ผมตัดสินใจวิ่งไปหาลูกชาย ที่เหมือนจะจงใจเดินช้าๆ ถ่วงเวลาให้ผมคิดออก


                “วันบีกับซี... ครบสี่ปี” ผมพูดด้วยความร้อนใจ และเซฮุนก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ      

                “ม๊าอยู่ที่บ้านน้าจีฮเย... ม๊าไม่ได้โกรธป๊าเลยซักนิด แต่ที่ผ่านมา ผมมักจะได้ยินม๊าพูดตอนร้องไห้หนักๆ ว่า...”

                “...”

                “ยี่สิบปีที่ชุนให้... มันก็แค่ความสงสาร”


                และนั่นทำให้ผมรู้ว่า

                เวลาหัวใจทั้งดวงถูกฉีกเป็นอย่างไร


                เซฮุน... ป๊าขอโอกาส คืนนี้... ป๊าจะไปหาม๊าที่บ้านน้าจีคนตัวสูงคุกเข่าลงกับพื้นเหมือนอยากจะก้มกราบอ้อนวอนลูกชายให้มองเขาเป็น พ่อเหมือนเดิมอีกครั้ง

                ผมจะรู้ได้ไงว่าป๊าจะไม่ทำให้ม๊าเสียใจอีก

                ป๊าไม่ยืนยัน... แต่ป๊าจะทำให้ดีที่สุด จะดีที่สุดยิ่งกว่าเคยทำข้อสอบเอนท์ ยิ่งกว่าทำงาน ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คืนนี้ป๊าวางพนันด้วยตัวป๊าเอง...

                งั้นถ้าป๊าทำให้ม๊ามีความสุขเหมือนเดิมได้... ผมจะไม่ว่าอะไรอีกเซฮุนจ้องหน้าคนเป็นพ่อเขม็ง ตอนนี้ต่อให้เอาอะไรมาฉุดรั้งอารมณ์ขุ่นเคืองก็ฉุดไม่อยู่

                “...”

                แต่ถ้าป๊ายังเป็นเหมือนเดิม ถึงม๊าจะมาด่าผมทีหลัง...ผมก็จะโทรหาน้าคยองซู




**********





ตกดึก

                “หม่าม๊า ผมอยากออกไปดูดาวข้างนอก” จู่ๆ ลูกชายตัวดีก็มาสะกิดไหล่และขอร้องให้เขาออกไปดูดาวข้างนอกด้วยกัน แบคฮยอนยิ้มให้อย่างใจดีก่อนจะจูงมือเด็กน้อยออกไปนอกประตูบ้าน


                โดยไม่รู้ตัวเลยว่า

                มีชายคนหนึ่งแอบยืนอยู่นอกรั้ว ในใจได้แต่เฝ้าขอบคุณที่ลูกชายยอมช่วยเหลือ



                ...


                “ออกมาดูดาวทำไมล่ะลูก” เสียงใสๆ ของภรรยาเขาดังขึ้น คนตัวสูงเอาหูแนบกับกำแพงและทำตัวให้ลีบที่สุดเพราะกลัวว่าจะถูกเห็น

                “พี่ลู่หานบอกว่า ถ้าคิดถึงให้ออกมาดูดาวเหนือ...” เซฮุนแหงนหน้ามองบนฟ้ามืดมิด มีเพียงดาวเคราะห์สองดวงที่ฉายแสงออกมาเด่นชัด... ดวงจันทร์และดาวเหนือ

                “คิดถึงก็สไกป์หาเค้าสิ”

                “ไม่เอาหรอก... ยิ่งไม่เจอกันเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดถึงกันไม่ใช่หรอม๊า...” 

                คนเป็นแม่เหลือบมองลูกชายที่ยืนมองดาวเหนือไม่กะพริบตา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของเด็กน้อยก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา เพราะความทรงจำเก่าๆ ผุดเข้ามามากมายเหลือเกิน

                “ใช่... ยิ่งไม่เจอกันยิ่งคิดถึง...”

                “...”

                “ม๊าถึงหนีออกมาไง... ป๊าจะได้คิดถึงม๊าบ้าง” แบคฮยอนเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดบ้าง แต่ยิ่งมอง ท้องฟ้ามากเท่าไหร่...


                ยิ่งมอง ท้องฟ้ามากเท่าไหร่...

 
                “รู้มั้ย... ม๊าไม่อยากจะออกมามอง ท้องฟ้าเลย...”

                “...”

                “เพราะมันทำให้ม๊านึกถึงใครบางคน”

                “...” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามองเขา คนอ่อนแอทั้งกายทั้งใจกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นจนเลือดซิบ... เหลือบมองกำไลข้อมือแพตตินั่มที่ไร้ความหมายก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าต่อ

                “คนนั้นบอกว่า เขาจะเป็นท้องฟ้า เพราะม๊าจะได้เห็นเขาตลอดเวลา”

                “...”

                “แต่ถึงม๊าจะหนีออกไปนอกโลก ม๊าก็ยังเห็นไอ้ท้องฟ้าเวรๆ นี่อยู่ดี” 

                “ม๊า...” เซฮุนเอื้อมมือมาบีบมือแม่ตัวเองเบาๆ เมื่อรู้ว่าเขากลายเป็นต้นเหตุให้หม่าม๊าร้องไห้อีกแล้ว แต่แรงบีบกำลังใจที่ได้รับกลับทำให้แบคฮยอนลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นหญ้า... และกอดเข่าร้องไห้สะอื้น

                “ฮึก... ว... แหวนแต่งงานก็ไม่เคยให้... ฮึก...” คนตัวเล็กร้องไห้ปากเบะ มันจุกอยู่ที่คอจนไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ 

                “...” เด็กน้อยเหลือบมองนิ้วนางข้างซ้ายของแม่แล้วเงยหน้ามองพ่อตัวเองที่แอบอยู่หลังรั้ว... เห็นแผ่นหลังห่อเหี่ยวของคนแอบฟังแล้วเซฮุนก็ไม่รู้จะทำยังไง

                “คงจะไม่รัก... ไม่เคยอยากจะรักเราเลย...”

                “...”

                “ที่แต่งงานก็เพราะสงส... สงสาร ฮึก... ทั้งสงสาร ทั้งรำคาญ... ก็เลยแต่งๆ ไปอย่างนั้นเอง...” ภาพความทรงจำเมื่อสี่ปีที่แล้วไหลพรั่งพรูมาไม่หยุดหย่อน 


                ภาพที่หัวเราะคิกคักกัน

                ภาพที่มีความสุขร่วมกัน

                แต่มัน... มันเป็นแค่ความสงสารจากชุน


                “เอ่อ...” เด็กน้อยลูบหลังคนเป็นแม่อย่างเงอะงะ

                “...”

                “เดี๋ยวเซฮุนเข้าบ้านก่อนนะ! เดี๋ยวจะไปหาผ้าเช็ดหน้ามาให้!” เซฮุนพูดเสียงดังๆ เหมือนจงใจให้ใครบางคนที่แอบอยู่นอกรั้วได้ยินก่อนจะวิ่งจู๊ดเข้าไปในบ้าน


                แบคฮยอนยังคงนั่งกอดเข่าอยู่อย่างนั้น ใบหน้าฝังลงไปกับเข่าของตัวเอง เพราะไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับ ท้องฟ้าที่อยู่บนหัวตัวเอง
                


                ตึก... ตึก... ตึก...

                เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และช้ามากจนคนที่ได้ยินรู้สึกผิดปกติ จึงหันไปมองด้านหลังตัวเอง...



                “ช... ช...” 


                แบคฮยอนพูดชื่อของเจ้าของร่างสูงออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ไม่ได้เห็นชัดๆ มานานเดินเข้ามาใกล้จนเขาตกใจ แบคฮยอนรีบยันตัวขึ้นจากพื้นและตั้งใจจะเดินหนีเข้าไปในบ้าน แต่ก็ถูกมือหนารั้งข้อมือไว้ก่อน

                “อย่าพึ่ง...” คนตัวสูงเปล่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้า เขารีบดึงภรรยาเข้ามาไว้ในอ้อมอก... 


                แต่คนตัวเล็กกลับขัดขืนและหลบตา

 
                “ย... อย่าโดนตัวบุ๊คดีกว่านะ ม... มันไม่ดี ไม่จำเป็นด้วย” 


                ดวงตาเรียวเล็กไม่คิดอาจเอื้อมไปสบตา เพราะกลัวว่าจะเห็นสายตาที่มองตนด้วยความรังเกียจ


                “ทำไมถึงไม่จำเป็น”

                “ก... ก็... ชุนไม่ต้องมาเอาใจบุ๊คแล้วล่ะ บุ๊คอยู่ได้... อยู่เองได้ อยู่... อยู่กับตัวเองได้” ยิ่งพูด... น้ำตาก็ยิ่งไหล แต่ข้อมือบางถูกจับไว้แน่นจนไม่สามารถเอามือมาเช็ดน้ำตาได้


                คนตัวเล็กจึงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กๆ

                และภาพนั่นยิ่งทำให้คนเห็นรู้สึกเจ็บกว่าเดิม


                “ทำไมล่ะ... บุ๊คไม่รักชุนหรอ”

                “รักที่สุดในโลก”

                “ถ้างั้นหนีเค้าทำไม...”           

                “ก็... กลัวว่าอยู่ไปชุนจะรำคา...”

                “เลิกพูดคำว่ารำคาญซักทีได้มั้ย ชุนไม่เคยรำคาญบุ๊คเลยแม้แต่วินาทีเดียวเลยนะ” คนตัวสูงเสียงแข็ง เขาไม่ชอบที่ภรรยาของเขามองว่าตัวเองต่ำต้อย มองว่าตัวเองน่ารำคาญ...

                “ก็นายนั่นแหละที่ทำให้เราคิดอย่างนั้น” ครั้งนี้ แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นและจ้องหน้าคนตัวสูงเขม็ง แถมยังเผลอเปลี่ยนสรรพนามจนคนฟังใจหายวาบ

                “...”

                “สี่ปีที่แต่งงานกันมา... นายทำเหมือนเราเป็นแค่ของประดับตกแต่งบ้าน มีไว้นอนข้างๆ บนเตียง มีไว้ซักผ้ารีดผ้าให้ มีไว้เป็นสิ่งที่เรียกว่าเมีย แต่ความจริงคือเป็นแค่เมียปลอมๆ ที่อยู่ในกฎหมาย”

                “...”

                “และเมียปลอมๆ คนนี้... ก็ไม่เคยได้อยู่ในใจนายเลยซักนิด”

                “ฮึก...”

                “พอแล้ว... เราเหนื่อยแล้ว เราอดทนมามากเกินไป”

                “...”

                “ทนจนจะไม่ใช่คนแล้ว...” แบคฮยอนพยายามเลี่ยงที่จะมองหน้าคนตัวสูงที่เริ่มจะสะอึกสะอื้น เขาแกะข้อมือตัวเองที่ถูกพันธนาการออกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

                “บุ๊ค... ชุนขอโอกาส”

                “โอกาส? โอกาสอะไร? เราให้โอกาสนายมาตลอดสี่ปี ก็... หลายพันวันเลยนะ แต่นายดันทิ้งขว้างเหมือนมันเป็นเศษขยะ”

                “...”

                “เลิกสงสารเรา แล้วปล่อยเราไปซักที... เราเหนื่อยแล้วชานยอล” คนตัวเล็กปิดประตูบ้านดังปังก่อนจะเดินขึ้นไปที่ห้องนอน


                วันนี้ที่ชุนมา... เป็นแค่ฝันไป

                ท่องไว้... ว่าชุนไม่ได้มาหาเรา
                

                แค่ฝันไป


                If you were a dream, you might be an ecstatic nightmare which I wanna dream forever.

                ถ้าชุนเป็นความฝัน, ชุนก็เหมือนฝันร้ายที่มีความสุข 

                และเป็นฝันร้ายที่อยากจะฝันไปตลอดชีวิต.






วันรุ่งขึ้น

                “เซฮุน! ตื่นรึยังลูก!?” แบคฮยอนตะโกนขึ้นไปชั้นสองตอนสิบโมงเช้า เขายอมรับว่าวันนี้ตื่นสายไปหน่อยเพราะเป็นวันหยุด และ... เมื่อคืนเขาก็นอนไม่หลับเอาซะเลย

                “ตื่นแล้วคร้าบบบบบ~

                “งั้นม๊าทำไข่เจียวแฮมชีสให้กินนะ!

                “คร้าบบบบบ~” เมื่อได้ยินคำตอบของลูกชายก็ทำให้แบคฮยอนยิ้มแก้มปริ เพราะแสดงให้เห็นว่า...


                ลูกชอบฝีมือการทำอาหารของเขา :)



                สี่ปีที่ผ่านมา... แบคฮยอนพยายามอย่างหนักในการหัดทำอาหาร เมนูเริ่มแรกที่เริ่มทำคือ ไข่คนเอาไข่มายีๆ ในกระทะก็เสร็จละ ซักพักก็ค่อยๆ พัฒนามาเป็นไข่ดาว... ไข่ต้มยางมะตูม... ไข่เจียว...

                และเมนูที่แบคฮยอนอยากลองทำที่สุดคือ ข้าวไข่ข้นแฮมชีสเพราะลูกชายของเขาชอบกินที่สุด จนสุดท้ายลูกชายของเขาก็เอ่ยปากออกมาว่า อร่อยมาก

                แบคฮยอนวิ่งวุ่นอยู่ในห้องครัวซักพักก็ได้ข้าวไข่ข้นแฮมชีสสองจาน เขาถือไปวางไว้ที่โต๊ะอาหารและเห็นว่าเซฮุนกำลังใส่รองเท้าผ้าใบเหมือนจะออกไปข้างนอก


                “ผมออกไปหาเพื่อนนะม๊า”

                “อ้าว แล้วข้าวล่ะลูก? กินข้าวเช้าก่อนสิ?” 

                “ไม่ล่ะครับ บายๆๆๆ” เซฮุนวิ่งออกไปทันทีและทำให้แบคฮยอนยืนเกาหัวมองประตูที่ว่างเปล่าอย่างนั้นงงๆ

                “แล้วอีกจานทำยังไงเนี่ย...”

                “กูกินเอง” แบคฮยอนหันคอแทบหักเมื่อได้ยินเสียงคนคุ้นเคยอยู่ด้านหลัง ชานยอลยังใส่เสื้อผ้าตัวเดิมแต่ดูเหมือนจะอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย

                “มายังไง” แบคฮยอนพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขายอมยื่นข้าวไข่ข้นแฮมชีสให้ร่างสูงก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองเงียบๆ

                “เมื่อคืนขอลูกนอนด้วยน่ะ... ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”

                “อืม”


                และความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้งจนได้ยินเสียงอิเล็กตรอนทำปฏิกิริยากันในอากาศ


                “... ทำกับข้าวเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดวงตาเรียวเล็กแอบมองหน้าผู้พูดเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

                “นานแล้วล่ะ...”

                “วันหลังทำให้กินอีกได้มั้ย... อร่อยมากๆ เลย” ชานยอลยื่นมือมาจับมือเล็กที่กำลังถูกควบคุมไม่ให้สั่น แต่มือนั้นก็กระถดหนีและมาซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ

                “ม... ไม่ได้หรอก มันไม่ได้อร่อยขนาดนั้น” 

                “ขอจับมือหน่อยได้มั้ย...”

                “ฮะ O_O!?” แบคฮยอนแทบจะทำช้อนตกลงบนจานเมื่อได้ยินคำขอแบบนั้น

                “ขอจับมือหน่อย... ได้มั้ยครับ” คนตัวสูงยังคงอ้อนวอนจนวินาทีสุดท้าย เขาแบมือวางไว้กลางโต๊ะอาหารและสายตานั่นดูน่าสงสารมาก

                “ม... ไม่ต้องทำเป็นรักเราก็ได้นะ เราบอกแล้วว่าเรา...” แบคฮยอนพยายามพูดปิดกั้นตัวเอง เขาไม่อยากให้ตัวเองถูกมองว่าน่าสงสาร

                “แบคฮยอน...” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อจริงจนเจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก


                ไม่ได้ยินคำนี้มาตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว

 
                “...” 

                “เรารักบุ๊ค รักแบคฮยอน... รักคนๆ เดียวกัน เรารักทุกอย่างที่เค้าเป็น... เรารักอยู่คนเดียวมาตลอดชีวิตและเราก็ไม่เคยเลิกรักเลย”

                “...”

                “เราไม่เคยสงสารเค้า แต่เราขอบคุณเค้าทุกวันที่เค้ารักเรา... เราไม่เคยรำคาญเค้า แต่เรารู้สึกโชคดีที่เค้าเอาใจใส่เรา”

                “หยุด...”

                ชานยอลรักแบคฮยอนและชุนก็รักบุ๊คมาก” เขาไม่เคยคิดจะสารภาพรักจนหมดเปลือกขนาดนี้มาก่อน แต่เขาก็ต้องทำ... เพราะเขากำลังเสียคนๆ นี้ไป

                “...”

                “ขออนุญาตจับมือได้มั้ยครับ” ร่างสูงแบมือไว้บนโต๊ะอีกครั้ง คนตัวเล็กมองมือหนาคุ้นเคยนั้นอย่างชั่งใจก่อนจะค่อยๆ วางมือเล็กของตัวเองลงไป


                เบาๆ... ทีละนิด...


                ชานยอลไม่เร่งรีบ เขารอจนกว่าแบคฮยอนจะพอใจในการจับมือครั้งนี้และสุดท้ายแบคฮยอนก็วางมือตัวเองลงไปเต็มๆ มือ


                แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นคนตัวสูงนั่งเท้าคางมองเขาด้วยสายตายิ้มๆ นิ้วโป้งใหญ่ลูบไปที่หลังมือเล็กของเขาไม่รู้เบื่อและดูจะมีความสุขมากกับอีแค่จับมือเพียงนิดเดียว



                “ทำไมไม่กินข้าว” 

                “ก็ไม่มีมือจะกิน” ชานยอลตอบ “แต่เดี๋ยวรอให้บุ๊คกินให้เสร็จก่อน... เรายังไม่หิว :)

                “ที่พูดว่ารักเราน่ะ... เราจะเชื่อได้ยังไง นายเล่นหายไปสี่ปีขนาดนั้น” แบคฮยอนพยายามลืมเรื่องการจับมือ แต่ดันถามอะไรออกไปก็ไม่รู้

                “เรา... เรามีเหตุผลน่ะ”

                “มีคนใหม่หรอ...”

                “ไม่แม้แต่จะคิด” เขาตอบทันทีที่ได้ยิน “แค่... มันเป็นเรื่องไร้สาระที่อยากให้เป็นความลับก่อนน่ะ”

                “เรารู้เลยไม่ได้หรอ... เราอยากรู้” แบคฮยอนส่งสายตาอ้อนวอน แต่ชานยอลก็รีบเมินเพราะกลัวจะเล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือก


                ตอนนี้แบคฮยอนยังรู้ไม่ได้... ไม่งั้นสี่ปีที่ผ่านมาสูญเปล่าหมด


                “อีกซัก... สองเดือนค่อยรู้นะ”

                “งั้นสองเดือนนี้ก็ไม่ต้องมาเจอกัน” ร่างเล็กยื่นคำขาด อุตส่าห์จะใจอ่อนอยู่แล้ว

                “ก็ได้...” เขาตกลงง่ายๆ เพราะช่วงสองเดือนนี้เป็นโค้งสุดท้าย... เขาต้องทำให้ดีที่สุด “แต่ถ้าครบสองเดือนเมื่อไหร่...”

                “...”

                “ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ”
                

                แบคฮยอนไม่ตอบคำถาม

                แต่ในใจกำลังนับถอยหลังหกสิบเอ็ดวันอยู่



 
                D-61










                ...




                D-1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น