วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

ภษคส : 13 C, yes, I’ve been loving you too long (to stop now).



13
C, yes, I’ve been loving you too long (to stop now).



                ผมหยิบกางเกงสแล็คสีดำมาสวมก่อนจะเอาเสื้อเชิ้ตสีฟ้ามาใส่ วันนี้ผมจะไปเดทกับใครซักคนและเขาก็จะใส่เสื้อยืดสีฟ้าที่ผมชอบมาด้วย ผมก็เลยต้องใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าสิ สีจะได้เข้าคู่กัน

                ผมจัดทรงผมตัวเองนิดหน่อย เขาเคยบอกผมว่าชอบให้ผมเปิดหน้าผาก เพราะดูหล่อมาก เอางั้นก็ได้... ผมยอมเปิดหน้าผากวันนึงเพื่อเขา และผมก็ฉีดน้ำหอมกลิ่นที่เขาชอบที่สุดด้วย กลิ่นที่เขาบอกว่า เป็นกลิ่นที่ชุนมาก

                ผมส่องกระจกเล็กน้อยและส่งเสียงเรียกเพื่อนรักที่รออยู่หน้าห้องนอนให้เข้ามาดู มันชมว่าหล่อดีและขอให้ผมพูดทุกอย่างในใจออกไป ตอนนี้สิบโมงนิดๆ... แต่ผมจะไปนั่งรอเขาที่ร้านอาหาร ผมไม่อยากให้เขามานั่งรอผม... แม้ผมจะรอเขามาทั้งชีวิตก็เถอะ


                “สองที่ครับ แต่แฟนผมยังไม่มา” ผมพูดกับบริกรหน้าร้านก่อนที่จะถูกเชิญให้เข้าไปนั่งด้านใน แอบสัมผัสได้ว่ามือตัวเองสั่นนิดๆ และหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ


                อ้อ... รู้สาเหตุสิ ก็ผมกำลังจะสารภาพรักแล้วนี่นา


                แต่สายตาผมก็ไปปะทะกับผู้หญิงแต่งหน้าจัดคนหนึ่ง ผมเห็นว่าเธอมองผมมานานแล้วล่ะ แถมไม่หันกลับไปซักที จนกระทั่งเธอเดินเข้ามาหาผม... เฮ้ๆ ผมมีแฟนแล้วนะ -_-;

                “นี่มึงจำกูไม่ได้หรอ” หล่อนถามก่อนจะเท้าสะเอว เดี๋ยวๆ ผมจำได้ว่าผมไม่มีเพื่อนหน้าแบบนี้

                “ใครครับ?”

                “โอ๊ยอีนี่! กูอี้ชิงไงงงงงงงงงงง จางอี้ชิงน่ะลืมแล้วใช่มั้ยห้ะๆๆๆ” ว่าแล้วก็ตีเข้าที่ไหล่ผมรัวๆ 



                อ้อ จางอี้ชิง 

                ตุ๊ดประจำห้องของผมสมัยมัธยมครับ มันไม่ได้อยู่แก๊งเดียวกับผมหรอกแต่มันก็สนิทกับบุ๊คมากๆ พอขึ้นมหาลัยเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยเพราะมันไปเรียนต่อเมืองนอก


                “เฮ้ยอี้ชิง O[]O!! ทำไมมึงกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ววะ!?

                “ก็ขี้เกียจเป็นผู้ชายตั้งแต่เกิดละไง พอมีผัวรวยเลยไปทำนมมา อิอิ” มันพูดจบก็หยิบมือผมให้ไปบีบนมซิลิโคนของมัน -0-!! ถ้าไม่เห็นว่าเป็นตุ๊ดนี่ผมคงจะร้องไห้ไปละ

                “มีผัวด้วย?”

                “แน่นอน -^- นั่งหน้าหล่ออยู่นู่นน่ะ ชื่อคริส” เมื่อผมมองไปที่โต๊ะที่มันเคยนั่งเมื่อกี้ก็เห็นผู้ชายสูงยาวเข่าดีหันมองมาทางนี้ ก่อนจะยิ้มให้ผมเบาๆ เป็นเชิงทักทาย

                “เออหล่อดีว่ะ แล้วเค้าไม่ให้เงินมึงไปผ่าออกไง๊?”

                “ไม่อ่ะ เค้าบอกว่าเค้าชอบแบบนี้มากกว่า อิอิ -.,-” ผมไม่เข้าใจที่มันพูดเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นเรื่องอย่างว่าล่ะก็... เกทเลย 5555555555555555

                “เออ งั้นมึงช่วยหลบไปด้วย กูนัดกับบุ๊คที่นี่” 

                “อ่อ เมียสุดแสนจะน่ารักของมึงอ่ะนะ? เป็นไงบ้างล่ะป่านนี้” ทันทีที่มันถามจบ ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ขึ้นมหาลัยจนถึงปัจจุบันให้มันฟัง 

                และสิ่งที่ได้รับคือ...
                

                “อิกาก”


                “เออ กูยอมรับว่ากูกาก =__= แต่วันนี้กูจะมาสารภาพรักแล้วไง” ผมตอบไปก็เกาหัวไป อี้ชิงเบะปากก่อนจะทำสีหน้ามีเลศนัย

                “กูช่วยมะ?”
 
                “ยังไง? ไม่เอาอ่ะ มึงจะไปไหนก็ไปเหอะ”

                “ไม่ด๊ายยยยยยยยยยยยย” อี้ชิงขึ้นเสียงสูงก่อนจะส่ายหน้ารำคาญใจ “มึงบอกรักมันแล้ว แต่มันก็พูดรู้แล้วแบบขอไปที แปลว่ามันยังไม่รู้จริงๆ”

                “...”

                “ต้องมีดราม่า” 

                “ดราม่าเหี้ยไรอีกวะ แค่นี้ชีวิตกูก็ดราม่าพอแล้วมึง T__T” ผมพูดก่อนจะชะเง้อมองไปที่หน้าร้าน เห็นคนที่ผมนัดไว้กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าน่ารัก แต่เมื่อเห็นผมอยู่กับอี้ชิงก็ตกใจทันที

                “ถ้ามันจำกูได้ กูก็จะปล่อยไป”

                “...”

                “แต่ถ้ามันจำกูไม่ได้... มึงต้องมาเล่นละครกับกู” มันกระซิบสั่งเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส แถมยังเอื้อมตัวมาหยิกแก้มผมอีก

                “ไอเหี้ย คือบุ๊คมันเข้าใจผิดแล้วไงว่ามึง...” ผมต้องหยุดด่ามันกะทันหันเมื่อบุ๊คกำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เจ้าตัวดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามา

                “นี่... กูมารบกวนอะไรรึเปล่า” บุ๊คพูดอ้อมแอ้ม ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่สายตาแม่งน่าสงสารมาก

                “เปล่าเลยจ้ะ นั่งก่อนสิ~” อินังอี้ชิงหันมายิ้มกว้างๆ ใส่บุ๊ค แถมยังวิ่งไปหาเก้าอี้มาให้บุ๊คนั่งหัวโต๊ะอีกต่างหาก มึงอ่ะต้องไปนั่งกับผัวมึง ไม่ได้มานั่งเป็นก้างตรงเน้ T_T

                “เธอเป็นใครหรอ...” บุ๊คพูดเบาๆ ก่อนจะพิจารณาใบหน้าอี้ชิงโดยละเอียด

                “เราชื่อฮานึล >__< เป็นเพื่อนกับชุนสมัยมหาลัยอ่ะ จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่... ชุนเค้ามาจีบเรามากกว่า ฮี่ฮี่” ไอ้สัสอี้ชิงแม่งเล่าเป็นตุเป็นตะ แถมยังเรียกผมว่าชุนอีก

                “ทำไม... ถึงรู้ชื่อชุน” บุ๊คดูเหวอกับเรื่องนี้จนผมชักจะหวั่นๆ อี้ชิงมันจะแก้ตัวว่าอะไรวะงานนี้

                “ก็ชุนบอกว่า ใครที่ได้เรียกชื่อชุน... แปลว่าเป็นคนสำคัญนี่นา~” ผมมองหน้าคนพูดที่ตอนนี้กำลังทำหน้าตอแหลสุดๆ โห้ยยยยยยยยยย ไรของมึงเนี่ยยยยยยยย TT0TT

                “สำคัญหรอ... มีคนสำคัญมากกว่ากูอีกหรอ” บุ๊คหันมาถามผม เราสบตากันอยู่นานก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้าอี้ชิงตัวปัญหา แต่มันกลับพยักเพยิดให้ผมทำตัวเหี้ยๆ เข้าไว้

                “อืม” ผมตอบหน้านิ่งๆ และบุ๊คก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร

                “เธอชื่อแบคฮยอนใช่มั้ย เห็นชุนเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนสนิท” นังฮานึลหรือนังอี้ชิงที่ตอนนี้เท้าคางรุกบุ๊คไม่หยุดได้แต่พูดเจื้อยแจ้ว ส่วนบุ๊คก็ทำได้ก้มหน้าก้มตา

                “อือ”

                “รู้มั้ย เราอยากไปค้างบ้านชุนหลายรอบละ แต่ชุนบอกว่าพ่อแม่อยู่บ้าน ไม่อยากให้ไป เราก็เลยไม่ได้ไปค้างซักที T_T” เออ เอาสิ เอากับมันสิ พูดแบบนี้กูดูเหี้ยหนักกว่าเดิมอีก พ่อแม่ห่าไร กูอยู่กับไอบุ๊คมาตั้งแต่ม.สามมึงก็รู้อยู่แก่ใจ T[]T

                “หรอ...”

                “เฮ้อ สั่งอาหารดีกว่า” อี้ชิงพูดพลางยกมือเรียกบริกร ก่อนจะสั่งอาหารให้ผม “ชุนชอบกินสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าใช่ปะ”

                “ฮะ? รู้ได้ไงเนี่ย” ผมชักจะงงๆ เพราะอยู่ๆ อีบ้านี่มารู้อาหารโปรดในร้านนี้ได้ไง

                “ก็แหมมมมมมม เราเคยๆ กันอยู่เนอะ... ถ้างั้นเอาสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าสองค่ะ”

                “สามครับ” บุ๊คแทรกขึ้นก่อนจะหันไปบอกอี้ชิง “แหะๆ พอดีเราชอบเหมือนชุนน่ะ”

                “อ๊ะหรอ คริคริ” ดูเหมือนอี้ชิงเองก็ตกใจไม่น้อยที่โดนบุ๊คแทรกขึ้นมาแบบนั้น แต่มันก็หันไปดูเมนูเครื่องดื่มแทน “ชุนชอบกินลาเต้ใช่ปะ”

                “ชุนชอบกินเอสเปรสโซ่น่ะ” บุ๊คแทรกอีกรอบ ทำเอาผมใจชื้นไม่น้อย

                “อ้าวหรอ ตกลงว่ายังไงเนี่ยชุน” อี้ชิงถลึงตาใส่ผมจนผมชักจะกลัวผิดแผน

                “ความจริงกูชอบกินลาเต้น่ะ แต่เห็นว่ามึงเข้าใจผิดแบบนั้นกูก็ปล่อยเลยตามเลย” ไอเหี้ยยยยยยยยยย กูเนี่ยแหละเหี้ย อี้ชิงแม่งไม่อะไรหรอก กูเนี่ยแหละตัวเหี้ยยยยยยยย

                “งั้น... คาโบนาร่าสาม ลาเต้หนึ่ง น้ำเปล่าสองค่ะ” 

                “เอ่อ ขอเปลี่ยนครับ” บุ๊คขัดขึ้นมาอีกรอบ “คาโบน่าร่าสอง ลาเต้หนึ่ง น้ำเปล่าหนึ่งครับ”

                “อ้าว...”

                “คือ... เราว่าเราไม่อยู่รบกวนทั้งสองคนดีกว่าน่ะ” บุ๊คเหลือบมองผมนิดหน่อยก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ทำเอาผมกับอี้ชิงนั่งมองหน้ากันอึ้งๆ

                “เหี้ยละอี้ชิง ถ้าบุ๊คมันร้องไห้กูฆ่ามึงแน่” ผมจ้องหน้าไอ้เพื่อนบ้าเขม็ง แต่ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้านอะไร

                “โอ้ย เดี๋ยวกูไปบอกผัวก่อนว่ากูมีภารกิจสำคัญ” มันลุกไปคุยกับผัวมันซักพักก่อนจะเดินกลับมานั่งกับผมเหมือนเดิม นี่ถ้าเป็นคนอื่นกูฆ่าทิ้งไปแล้วนะเนี่ย

                “อี้ชิง กูไม่อยากแดกข้าวละ กูจะกลับบ้าน”

                “ใจเย็น กินข้าวก่อน ของแบบนี้ต้องใจร่มๆ” มันพูดพลางนั่งเล่นมือถือสบายๆ 


                ผมนั่งมองมันเล่นสมาร์ทโฟนแล้วก็แอบถอนหายใจ เคยบอกบุ๊คว่าอย่าเล่นเลย เดี๋ยวติด เรามาใช้มือถือโทรเข้าโทรออกกันสองคนน่ะดีแล้ว และบุ๊คก็โอเคที่จะยอมเชยในสายตาคนอื่น โดยการใช้มือถือรุ่นกากๆ กับผมสองคน


                เมื่ออาหารมา ผมก็รีบกินสปาเก็ตตี้บ้าบอจนหมด ต่างจากอี้ชิงที่นั่งกินละเมียดช้าๆ จนเสียเวลาไปยี่สิบนาที สุดท้ายมันก็หยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า


                “โด้ไลน์มาบอกกูว่า แบคนั่งอยู่หน้าห้องมึง” 

                “ไลน์? เอ้า นี่พวกมึงยังติดต่อกันอยู่หรอ” 

                “แหมพ่อคุณ มีไลน์ก็คุยกับเพื่อนเก่าได้ทั่วโลกแหละค่ะ มีแต่มึงกับอิแบคนั่นแหละที่เพื่อนเก่าลืมไปหมดละ” มันจีบปากจีบคอพูดก่อนจะมองมือถืออีกครั้ง “โด้บอกอีกว่า...”

                “...”

                “ร้องไห้ด้วย”

                “กลับบ้าน” ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน ควักบัตรเครดิตออกมาจ่ายและรีบจ้ำอ้าวออกจากร้าน แต่ไอ้บ้าอี้ชิงก็วิ่งตามผมมาติดๆ

                “กูบอกพี่คริสแล้วว่ากูจะทำอะไร ฮานึลคนนี้ต้องไปสานเรื่องต่อให้จบ”

                “พอละมึงอ่ะ ยิ่งพูดเรื่องยิ่งแย่ลง”

                “ไม่ได้หรอกมึง มันกำลังพีคถึงขีดสุดละ... กูสาบานได้เลยว่าวันนี้พวกมึงต้องเข้าใจกัน”


                ฟังแล้วใจชื้น

                เอาวะ ลองเชื่อในตัวอีบ้านี่ดูก็คงไม่เสียหาย



**********



                เสียงฝีเท้าวิ่งตึกตักจากบันไดทำเอาคนที่นั่งอยู่หน้าห้องสะดุ้งเฮือก มือเล็กรีบปาดน้ำตาตัวเองทิ้งก่อนจะหันรีหันขวาง ลังเลว่าจะเข้าห้องคยองซูหรือจะวิ่งหนีออกจากคอนโดไปเลย แต่เมื่อดวงตาเรียวเล็กปะทะกับคนตัวสูงที่เดินมาตามทางเดินก็ทำได้แค่ถอนหายใจเท่านั้น


                “กลับบ้านเราแล้วหรอ...” เสียงและคำพูดของคนที่กำลังเดินมาทำให้หัวใจของใครบางคนเต้นแรงและถี่รัว พลันสายตาเล็กก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินตามหลังมาด้วย...

                “เปล่าหรอก...”

                “...”

                “คิดว่าเราควรจะคุยให้จบที่นี่ ต... แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านนะ” แบคฮยอนก้มหน้าก้มตาเดินสวนคนตัวสูง แต่ข้อมือเล็กก็ถูกจับรั้งไว้

                “อย่าพึ่งไป เข้าไปในบ้านก่อน”

                “นั่นสิๆๆ ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เราน่าจะสนิทกันได้นะแบคฮยอนนา~” อี้ชิงจีบปากจีบคอพูด สองมือจับอยู่ที่บ่าของคนตัวสูงเหมือนแสดงความเป็นเจ้าของเสียเต็มที่

                “เราสนิทกันไม่ได้หรอกฮานึล...” คนตัวเล็กตอบอย่างอ่อนล้า “บนโลกนี้มีคนเรียกชุนได้แค่คนเดียว ถ้าเธอได้รับสิทธิ์นั้น... เราก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้”

                “โหย ไม่เป็นไรหรอก ไปๆๆ กลับเข้าไปในห้องก่อนนะๆ” อี้ชิงดันหลังเพื่อนสนิทที่จำเขาไม่ได้จริงๆ ให้เดินกลับไปที่ห้อง ชานยอลเองก็รู้หน้าที่ เขารีบรูดการ์ดหน้าห้องก่อนจะเดินนำเข้าไป

                “แบคฮยอนนั่งรอที่โซฟาแป๊บนะ เรากับชุน... จะแบบว่า... เข้าไปคุยกันในห้องนอนซักแป๊บน่ะ” อี้ชิงทำท่าเหมือนเขินอะไรบางอย่าง ก่อนจะจับข้อมือใหญ่ให้เดินเข้าไปในห้องนอนและปิดประตู

                “เฮ้ย ทำอะไรของมึงวะ” คนตัวสูงทักท้วงเบาๆ

                “ตามน้ำละกันมึงอ่ะ” ทันทีที่พูดจบ อี้ชิงก็ส่งเสียงประหลาดๆ ออกมา “อ๊าย ชุน ไม่เอานะ... ตรงนั้น... อย่าพึ่งซี่ แบคฮยอนก็อยู่นะ... อื้มมมมมม ตรงนั้นแหละ...”

                “อิเหี้ย =[]=!!” คนตัวสูงอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ

                “เร็วๆ เหอะหน่า... อื้อ... อ๊ะ~ อย่าพึ่งถอดสิ รีบหรอ... คิคิ” อี้ชิงยังคงส่งเสียงกระเส่าออกมาไม่หยุด ทั้งที่สีหน้านิ่งมาก

                “เอ่อ... อื้ม ดีครับดี ฮานึล...” ชานยอลลองพูดบ้าง และนั่นก็ทำให้อี้ชิงขำกลิ้ง


                ปัง!!

                เสียงประตูห้องปิดดังสนั่น ทำเอาอิบ้าทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก


                “เฮ้ย ได้ผลว่ะ” อี้ชิงพูดพลางชะโงกหน้าออกไปดูในห้องรับแขก “มันไปละ”

                “เชี่ยอี้ชิงงงงงงงงงงงงงงงง T0T ถ้าบุ๊คมันโกรธกูหนักกว่าเดิมทำไงฮะ!?

                “ใจเย็นน่า กูไลน์บอกแผนการณ์ให้อีโด้ไปดักรอหน้าห้องละ”

                “...”

                “รับรอง เดี๋ยวบุ๊คของมึงก็ต้องกลับมา”



**********



                “ฮึก... มึงให้กูกลับบ้านเถอะโด้ ขอร้อง... ฮึก... นะ...” คนตัวเล็กที่ตอนนี้น้ำหูน้ำตาไหลพรากไม่หยุดได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่ในห้องของเพื่อนสนิท คยองซูถอนหายใจก่อนจะลูบหลังเบาๆ

                “ใจเย็นนะมึง วันนี้จะเคลียร์แล้วนะเว่ย อยู่รอเคลียร์กันก่อน” 

                “เคลียร์ยังไงวะมึง... ชุนแม่ง... ใจร้าย ใจร้ายที่สุดเลย ฮึก...” 

                “...”

                “มันเอาคนอื่นมาใช้เตียงเราได้ไง... ทำไมมันทำกับกูแบบนี้” คยองซูแอบอยากจะหัวเราะที่ได้ยินแบบนั้น นี่ถ้าอี้ชิงไม่ไลน์มาบอกล่วงหน้าเขาคงจะวิ่งไปด่าตั้งนานแล้ว

                “แล้วมึงหนีออกมาทำไม กลับเข้าไปด่าพวกมันสิ อ่อนแอแล้วได้อะไรขึ้นมา”

                “ก็มัน...”

                “กลัวชุนจะเกลียดหรอ” คยองซูพอจะรู้ว่าคนอย่างแบคฮยอนกลัวอะไรมากที่สุด

                “อื้อ”

                “งั้นกูไปเป็นเพื่อน... อย่างน้อยก็ไปทักทายเพื่อนเก่า” คยองซูพูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์และจับมือให้เพื่อนสนิทลุกขึ้นยืน สองมือเล็กช่วยปาดน้ำตาเพื่อนก่อนจะพาเดินออกจากห้อง

                “กลัวชุนเกลียด กลัวชุนโมโห กลัวทุกอย่างเลย...”

                “งั้นก็เข้าไปคุยดีๆ... สารภาพทุกสิ่งในใจมึงให้มันฟัง”

                “...”

                “แล้วมึงจะไม่กลัวเรื่องบ้าอะไรพวกนี้อีกเลย”
                

                คยองซูฉุดให้แบคฮยอนเดินเข้ามาในห้องที่เขาพึ่งหนีออกมา แต่เมื่อเปิดเข้าไปก็เจอหญิงสาวแต่งหน้าเข้มคนนั้นกำลังนั่งไขว้ห้างเล่นมือถืออยู่บนโซฟา แถมไอ้คนตัวสูงเจ้าปัญหาก็นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


                “ไปๆๆๆ เข้าไปคุยกัน” อี้ชิงลุกขึ้นก่อนจะดันหลังชานยอลและแบคฮยอนให้เข้าไปในห้องนอน

                “เดี๋ยวๆ นี่เกิดอะไรขึ้น...” คนตัวเล็กโวยวายเบาๆ แต่เมื่อโดนประตูห้องนอนปิดกระแทกใส่หน้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สิ่งเดียวที่ได้ยินตอนนี้คือลมหายใจของตัวเองและของคู่กรณีเท่านั้น

                “ฮานึลเป็นใครกันแน่...” แบคฮยอนพึมพำเบาๆ พลางก้มมองปลายเท้าตัวเองด้วยความประหม่า

                “เป็นใครก็ช่างเถอะ แต่เอาเป็นว่าเราไม่มีอะไรเกินเลย”


                พอได้ยินแค่นั้นก็เชื่อสนิทใจ เสียงทุเรศๆ เมื่อกี้ก็ลืมได้ภายในพริบตาเดียว


                “...”

                “บุ๊ค กูมีอะไรจะบอก” คนตัวสูงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อไล่ความตี่นเต้น

                “กูก็มีอะไรจะบอก... ให้กูบอกก่อนนะชุน” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองหน้าคนตัวสูงกว่า 


                ยิ่งสายตาเราประสานกัน ฉันก็ยิ่งจินตนาการไปไกล
                

                เธอคิดเหมือนฉันบ้างรึเปล่า...


                คนตัวเล็กยกมือขึ้นมาปิดตาสองข้างของตัวเอง เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกและแรงบีบของหัวใจกำลังทำให้น้ำตาไหลลงมา ปลายจมูกรั้นก็แดงก่ำ

                ก่อนที่บยอนแบคฮยอน


                จะกดระเบิดพลีชีพ
                

                “อย่าสงสารกูนะชุน... ฮึก... กูพูดอะไรไปก็ไม่ต้องสงสาร ฮึก... ไม่ต้องมารู้สึกเหมือนกัน ไม่จำเป็น...”

                “...”

                “กู... กูรักมึง... รักแบบคนรัก รักแบบอยากเป็นแฟน รักแบบทุกสิ่งทุกอย่าง... ฮึก... รัก... รักมาตลอดเลย” คนตัวเล็กเบะปากและเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง ดวงตาทั้งสองยังคงไม่กล้าเปิดดูว่าคนตรงหน้ามีสีหน้าอย่างไร

                “...”

                “ต... แต่กูจะหย่าให้ จะย้ายออกจากที่นี่จริงๆ จะทำทุกอย่างให้ชุนมีความสุขและไม่... ฮึก... ไม่ต้องลำบากใจเพราะมีกูเกะกะ” 

                “เชี่ยเอ๊ย” สิ่งเดียวที่ได้ยินคือคนตัวสูงสบถคำหยาบออกมา... เอาแล้วไง ชุนต้องโกรธแน่ๆ โกรธมากแน่ๆ ที่เราหักหลังความเป็นเพื่อน...

                “ขอโทษที่เผลอรักมึง... ขอโทษนะชุน...” แบคฮยอนขยี้ตาที่เปียกชุ่มก่อนจะลืมตาขึ้น แต่ภาพที่เห็นคือ...


                คนตัวสูงลงไปนั่งทรุดอยู่บนพื้น ไหล่หนาสั่นไหวเหมือนทั้งหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน


                “ชุนเป็นอะไร... ชุนโกรธกูหรอ...” เจ้าของปลายจมูกแดงลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ พยายามไม่โดนตัวเพราะกลัวว่าจะถูกเกลียดมากกว่าเดิม

                “ฮึก... ใช่ โกรธมาก ฮึก...” คนตัวสูงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นทั้งที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้า


                และนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ บุ๊คเห็นน้ำตาของ ชุน


                “ก... โกรธแล้วร้องไห้ทำไมล่ะ มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ... ขอโทษนะ” แบคฮยอนกลายเป็นคนที่สับสน คนตัวเล็กช้อนหน้ามองคนที่กำลังร้องไห้อย่างเป็นห่วง แต่นั่นยิ่งทำให้ตัวเองดูน่ารักมากกว่าเดิม

                “ทำไม...”

                “...”

                “ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้...”

                “แหะ ขอโทษนะ คือ...”

                “เราจะได้เป็นแฟนกันเร็วกว่านี้ เราจะได้รู้ความรู้สึกของกันและกันให้เร็วกว่านี้...” คนตัวสูงปาดน้ำตาตัวเองทิ้งก่อนจะมองหน้าแบคฮยอนที่ตอนนี้น้ำตาแห่งความดีใจกำลังคลออยู่ในดวงตา

                “...”

                “กูขอโทษนะบุ๊ค แต่กูเหี้ยกว่ามึงอีก... กูรักมึงมาตั้งแต่ป.หนึ่งแล้ว ฮ่าๆๆ” 

                “ห้ะ? แล้วที่จีฮเยบอกว่ารักยี่สิบปีนี่เรื่องจริงหรอ...” 

                “จริง ทุกคนเค้ารู้เรื่องกูหมดแหละ มีแต่มึงที่ไม่รู้...” ชานยอลยิ้มกว้าง เขาคว้าเอวนิ่มๆ ของแบคฮยอนก่อนจะบังคับให้มานั่งตักตัวเอง “ต่อไปนี้กูจะได้แสดงออกจริงๆ ซักทีว่ากูรักมึงขนาดไหน”

                “งื้อ... รู้แล้ว (.___.)

                “สาบานว่าต่อจากนี้จะไม่ได้เห็นชานยอลอีกเลย มึงจะได้เห็นแค่ชุนเท่านั้น และมึงก็จะเป็นคนเดียวที่ได้เห็นชุนด้วย...” เขาฝังปลายจมูกลงบนแก้มนิ่ม ก่อนจะยิ้มกับตัวเองเบาๆ...


                แอบรักยี่สิบปี...
                จบลงแล้ว ^____^


                “อื้ม... ดีใจมากๆ เลยนะรู้มั้ย” แบคฮยอนบีบมือที่กำลังโอบเอวตัวเองเบาๆ รอยยิ้มเล็กๆ ผุดบนใบหน้าก่อนจะหลับตาลงเบาๆ


                แอบรักสิบปี...
                จบลงแล้วเหมือนกัน ^____^


                “รู้มั้ย ถ้าไม่รัก... ไม่พาหนีออกจากบ้านมาอยู่ด้วยกันหรอกนะ” คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ เบื้องหลังของการหนีออกจากบ้านยังมีต่ออีกยาว แต่เขาอยากให้คนตัวเล็กรู้ทีหลังดีกว่า

                “แล้วคิดว่า...”

                “...”

                “ถ้าไม่รัก... จะออกจากอ้อมอกพ่อแม่มาอยู่ด้วยรึไง”


                ทั้งสองคนมองหน้ากัน

                ...

                โอเค เราสองคนที่แม่งแรดตั้งแต่ม.ต้นเลยเนอะ 5555555555555555555555555


                “ไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นเถอะ รายนั้นโผล่มาทีเดียวก็ทำให้เราเข้าใจกันได้ ฮ่าๆๆๆ” ชานยอลจับให้คนตัวเล็กลุกจากตักก่อนจะจับมือพาออกไปที่ห้องนั่งเล่น แม้แบคฮยอนจะยังงงๆ แต่ก็ยอมออกไปด้วย

                “อีโด้ นี่บอกเลยนะ หมอคิม เจ้าของคลีนิคตรงหัวมุมแถวๆ โรงเรียนเก่าเราอ่ะ นั่นแหละ... ทำนมได้ขนาดนี้เลย ผ่าช้างน้อยออกก็ยังได้เลยนะแกร” เสียงกะเทยควายจีบปากจีบคอพูดอยู่ในห้องรับแขกทำเอาคนฟังตกใจไม่น้อย

                “อิห่านี่ กูบอกว่ากูไม่ใช่ตุ๊ดเว่ย! นี่ก็แนะนำอยู่ได้”

                “แหมๆๆ อีโด้ ถึงจะไม่ใช่ตุ๊ด แต่ก็หยุดอยู่ที่อิเงาะป่าคิมจงอินปร๊ะะะะะ กิกิ” อี้ชิงหัวเราะในลำคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังช็อคโลกอยู่ “อ้าวอีดอกแบค อีนี่ตัวดีเลย จำกูไม่ได้ ควรพาไปผ่าช้างน้อยออก”

                “ห้ะ...” แบคฮยอนยังคงงุนงง มือเล็กรีบจับที่ช้างน้อยตัวเองเพราะความกลัว TwT

                “ใครสวยที่สุดในชีวิตมึง -_-?” 

                “เพื่อนเก่าเรา...”
 
                “ชื่อ?”

                “อี้ชิ... ห้ะ O_O!! อี้ชิงงงงงงงงงง อี้ชิงหรออออออออออ T0T” แบคฮยอนรีบวิ่งเข้าไปจับใบหน้าเพื่อนเก่าและสวมกอดกันด้วยความคิดถึง 

                “อีแรด ต้องให้กูมาช่วยถึงจะเข้าใจกันใช่มั้ยหื้ม?” อี้ชิงลูบหัวเพื่อนตัวเล็กจิ้มลิ้มของเขาอย่างเอ็นดู ลักยิ้มเอกลักษณ์ของเขาบุ๋มลงไปจนทำให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าของลักยิ้มคงกำลังมีความสุขมากจริงๆ

                “งื้ออออออออ เรื่องมันยาวน่ะ (.__.)

                “ยาวเหี้ยไร พวกกูรำคาญอิห่าชุนจะแย่อยู่ละ ทำตัวหวงก้างแต่ไม่ยอมบอกชอบน้องบุ๊คของกู น่าเบื่อ~” อี้ชิงเหล่มองคนตัวสูงที่ทำตัวน่าหมั่นไส้มาตลอดยี่สิบปี

                “เออน่ะ จะดูแลเหมือนเดิม” เสียงทุ้มตอบกลับมาจนทำให้คนฟังทั้งสามชื่นใจ โดยเฉพาะคนที่พึ่งที่ถูกบอกรักหมาดๆ คงจะชื่นใจสุดๆ แล้วล่ะมั้ง

                “พวกมึงซื้อมือถือดีๆ กันหน่อยเสะ กูอยากคุยไลน์กับพวกมึง” อี้ชิงพูดก่อนจะโชว์ไอโฟนของตัวเองให้แบคฮยอนกับชานยอลดู แต่ชานยอลก็รีบส่ายหน้า

                “ไม่ได้ เดี๋ยวบุ๊คติด”               

                “งั้นมึงก็ซื้อมาใช้คนเดียวซะ ไม่ก็ซื้อกันสองคนเลย”

                “ถ้ากูซื้อคนเดียวกูก็ติดมือถือ ไม่สนใจมันอีก แล้วถ้าซื้อสองคนพวกกูก็ไม่ต้องคุยกันพอดี” เหตุผลนี้แหละที่ทำให้แบคฮยอนยอมใช้มือถือกากๆ ถึกๆ โดยไม่บ่นซักคำ

                “โถถถถถถถถถ ก็โตๆ กันแล้วปะวะ มีความคิดความอ่านแล้วเว่ย” อี้ชิงพยายามหว่านล้อมก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปทำต่อ “เอาล่ะๆ ผัวกูมารอรับกูข้างล่างนานละ ความจริงกูต้องกลับแคนาดาตอนบ่ายสาม แต่ต้องมาเป็นกาวเชื่อมใจให้พวกมึงเนี่ย! เสียเวลามั้ยตอบ!?”

                “เสียเวลา (.__.)

                “ก็รักกันให้มันนานเท่ากับค่าเสียเวลากูละกัน ไปละๆๆ” อี้ชิงที่เห็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างลงตัวก็รีบผลุนผลันออกจากห้อง ก่อนไปก็ส่งซิกให้คยองซูไปทำนมตามที่ตัวเองบอก

                “อีดอกกกกก กูไม่ไปทำเว่ยยยยยยยยย!!” คยองซูตะโกนไล่หลังอย่างหงุดหงิดใจ ร่างเล็กนั่งเท้าคางบนโซฟาและเริ่มจะสัมผัสได้ว่ากำลังถูกคนสองคนจ้องมอง

                “คือ... มึงควรออกไปด้วยเว่ยโด้ -_-;

                “จ้าๆ ทีอย่างงี้ล่ะไล่กูเลยนะ” คยองซูยอมออกจากห้องไปจนได้ และทิ้งให้เพื่อนที่ตอนนี้ขยับกลายเป็นแฟนเต็มตัวได้อยู่กันสองคน...

               
                ... อย่างเกร็งๆ


                “แหะ ^^;” แบคฮยอนยิ้มแห้งๆ ให้ชานยอลที่ตอนนี้กำลังเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ บนโซฟา มือหนาเคลื่อนมาจับมือเรียวเล็กที่ตอนนี้เย็นเฉียบ และทั้งคู่ก็เงยหน้ามองเพดานทั้งที่จับมือกันอยู่อย่างนั้น

                “ลงตัวซักทีเนอะ”

                “อื้อ” คนตัวเล็กแอบยิ้มจนตาปิด กลัวว่ายิ้มโจ่งแจ้งจะโดนแซวเอาน่ะสิ

                “...”

                “เออชุน” แบคฮยอนหันมามองคนตัวสูง ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง “ซื้อ Marlboro มาให้น่ะ”

                “ห้ะ ซื้อมาไม กูไม่ได้ติดขนาดนั้นนะบุ๊ค กำลังจะเลิกให้มึงแล้วด้วย” ชานยอลมองบุหรี่ Marlboro ในมือคนตัวเล็กสลับกับใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างงุนงง

                “ไม่ต้องเลิกให้กูหรอกแหม ไปสูบเตอะ จะได้สดจื้น~” เจ้าของริมฝีปากเล็กมาพูดครุคริครุคริใส่ แหม นี่จะไม่ลงแดงบุหรี่หรอก ลงแดงอยากจูบมากกว่า -.,-

                “ไม่รู้แหละ จะเลิกให้มึง แต่เดี๋ยวขอสูบครั้งสุดท้ายแล้วกันนะ ฮ่าๆๆๆ” คนตัวสูงหยิบกล่อง Marlboro ไปที่ระเบียงก่อนจะจุดไฟแช็คอย่างเชี่ยวชาญ 


                ควันบุหรี่พวยพุ่งเข้าไปในห้อง เขาหันไปมองก็เห็นไอ้แฟนตัวจิ้มลิ้มยืนเกาะระเบียงอย่างมีความสุข ปล่อยให้ควันบุหรี่พุ่งใส่หน้าตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้าน


                “ฮึบๆๆ” ชานยอลทำท่าหยิบควันบุหรี่ที่กำลังทิ่มหน้าแบคฮยอนไปทิ้งไกลๆ ก่อนจะใช้มือปัดควันบุหรี่ที่อยู่รอบตัวคนตัวเล็ก

                “ฮ่าๆๆๆ เอาอีกๆ หยิบควันออกจะหน้ากูอีก น่าย้ากกกกก~
                

                ยังมีหน้ามาขำ!!!
                

                “ใครใช้ให้มายืนตรงนี้เนี่ย เข้าไปนั่งข้างใน ปิดประตูระเบียงด้วย” เขาคีบบุหรี่ไว้ในมือขวาก่อนจะเอามือซ้ายดันแบคฮยอนให้เข้าไปในห้อง แต่เด็กดื้อก็ไม่ยอมเข้าไปง่ายๆ


                เหตุผลน่ะหรอ...


                “เวลามึงสูบบุหรี่เท๊เท่ เลยมาเกาะขอบระเบียงดูนี่งายยยยย~

                “- / / / / / / / / / -” ไอ้คนฟัง... แทนที่มันจะห้าม ดันเขินหน้าแดงขึ้นมาซะได้

                “สูบอีกๆๆ” 

                “ไม่สูบแล้ว!” ร่างสูงปักบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ก่อนจะเอา Marlboro คืนแบคฮยอน คนตัวเล็กหัวเราะก่อนจะเดินออกมาหน้าระเบียง สูดดมกลิ่นดอกกุหลาบที่ปลูกไว้หลากสี


                ภาพคนตัวเล็กกำลังสูดดมดอกไม้ทำให้ใครบางคนใจสั่น


                “ย... อย่าดมสิ ดอกไม้พวกนี้มันมีกลิ่นบุหรี่นะ (. / / / / .)” พยายามเอาข้ออ้างบ้าบอมาอ้าง ความจริงคืออยากให้เลิกดม กลัวว่าตัวเองจะมองริมฝีปากนั้นเป็นกลีบกุหลาบซะก่อน

                “ไม่ดมก็ได้ '' อิอิ” แบคฮยอนยืนตัวตรงและหันหน้ามาเต็มตัว
                

                ปากเล็กๆ นั่นเหมือนกลีบกุหลาบจัง

                ...


                คนตัวสูงใช้มือประคองใบหน้าเล็กก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น จนกลีบกุหลาบสมมตินั้นเกือบจะสัมผัสกับริมฝีปากของเขา

                แต่กลิ่นลมหายใจของเขาตอนนี้ที่เป็นนิโคตินโดยสมบูรณ์ทำให้เขาต้องชะงัก... ชานยอลรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะบีบยาสีฟันลงในแปรงสีฟันและแปรงฟันอย่างขุ่นเคืองใจ 


                “คิกๆๆ กูไม่รังเกียจมึงหรอกหน่า” แบคฮยอนเองก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเดินตามมาแซว แขนเล็กโอบรอบลำตัวสูงก่อนที่จะซบใบหน้าน่ารักลงบนแผ่นหลังกว้าง

                “งึงงั่ยงังเงี่ยดงู แหง่งึงงังเงียดงุหงี่”

                “พูดห่าไรไม่รู้เรื่อง -_-; บ้วนปากเด๊ะ” แบคฮยอนบังคับให้คนตัวสูงบ้วนปากก่อนจะยืนรอฟังว่ามันพูดว่าอะไร

                “มึงไม่รังเกียจกู แต่มึงรังเกียจบุหรี่” เมื่อฟองยาสีฟันหมดปาก ชานยอลก็พูดรู้เรื่องซักที

                “แต่มึงชอบบุหรี่นี่หว่า มึงชอบไรกูก็ชอบอันนั้นแหละ”

                “ไม่ได้ๆๆ มึงชอบอันนี้ไม่ได้” เขาส่ายหน้าจริงจังและถอดเสื้อออก 

                “ว้ายยยยย จะทำอะไรกู๊ O / / O!?” แบคฮยอนเอามือปิดหัวนมใต้ร่มผ้าของตัวเองทำไมก็ไม่รู้ ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำทั้งที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “โอ้ยยยยยยย จะอาบน้ำล้างกลิ่นบุหรี่โว้ย เดี๋ยวก็จับปล้ำให้สมใจอยากซะเลยหนิ” คนตัวสูงยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ทีนึง 

                “ไม่ต้องล้างหรอก ไม่เห็นมีกลิ่นเลย โป๊ะโปะได้นะๆๆ '' จริงๆ” แบคฮยอนพูดด้วยสีหน้าใสซื่อ นี่พูดอะไรออกมาคงจะไม่รู้ตัวสินะ

                “แต่กูถอดเสื้อแล้วนะ”

                “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย กลิ่นก็ติดที่เสื้อมึงนี่...”

                “กูหมายถึง... เพราะกูถอดเสื้อแล้ว...”

                “...”

                “ถ้าโป๊ะโปะอยู่ดีๆ... มึงโดนกูถอดเสื้อจะทำยังไง” เจ้าของเสียงทุ้มที่แสนจะชวนฝันเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็กมากขึ้น 

                “ก็... ไม่เป็นไร ชุนอยากทำอะไรก็ทำ เป็นเด็กดีมะ?” แบคฮยอนไม่ได้กลัวและกระเถิบหนี กลับเดินเข้าไปหาและโอบแขนรอบคอคนตัวสูง... ที่สูงได้พอดีกับเขา

                “เด็กดีมาก...” สิ้นสุดคำชมจากปากตัวเอง เขาก็ก้มลงมาครองครองกลีบกุหลาบสีชมพู ลิ้นหนาสอดเข้าไปในโพรงปากเล็กและลิ้นเล็กก็ตวัดรับอย่างรู้งาน


                อย่างงี้สิ... ถึงจะเรียกว่าเด็กดี

                เรียนรู้เร็ว
                

                ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่องช้าแต่วาบหวาม... สรรพสิ่งรอบตัวเหมือนหยุดหมุนและมีแค่ปลายลิ้นของเรากำลังขยับเคลื่อนไหวด้วยความรักที่แน่ใจซึ่งกันและกัน

               
                “บุ๊ค...” ร่างสูงนึกอะไรขึ้นมาได้หลังจากที่เกือบถลกเสื้อยืดของคนตัวเล็ก

                “หืม?”

                “กูอยากเลี้ยงฮุนฮุน”        



**********



                “พี่ฮานฮาน บางทีฮุนฮุนก็กลัว...” เด็กน้อยยืนเบะปากขณะที่กำลังกวาดพื้นในห้องเก็บของเล่น วันนี้เขาเป็นเวรทำความสะอาดกับพี่ฮานฮานและพี่ที่ตัวโตกว่าเขาก็กำลังปีนขึ้นไปกวาดหยากไย่

                “กลัวอะไรครับ?”

                “กลัวว่าจะมีคนมารับฮุนฮุนไปเลี้ยง” เด็กน้อยเดินไปหาพี่ตัวโตก่อนจะสะกิดชายเสื้อเบาๆ “แล้วเดี๋ยวเราก็จะไม่ได้เล่นด้วยกันอีก”

                “บ้าหรอ เดี๋ยวป๊าชุนกับม๊าบุ๊คก็จะมารับไปเลี้ยงไม่ใช่รึไง ส่วนพี่ก็รอให้ป๊าจงอินกับม๊าโด้แต่งงานกันอยู่ ถ้าสองคนนั้นเค้าแต่งงานกันเมื่อไหร่พี่ก็ได้ไปอยู่ข้างๆ ฮุนฮุนเองแหละ” ความจริงเขาก็กังวลกับเรื่องนี้ไม่น้อย สิ่งที่พูดออกไปทั้งหมดคืออนาคตที่วางไว้ในหัว... และเป็นอนาคตที่เขาขอให้เป็นจริง

                “ตอนนี้ป๊าชุนกับม๊าบุ๊คทะเลาะกันแรงมากๆ เลย... ฮุนฮุนกลัวว่าเค้าสองคนจะเข้าใจผิดกัน”

                “...”

                “กลัวว่าทั้งสองคนจะไม่รู้ตัวว่ารักกันมากแค่ไหน”

                “รู้แหละ เค้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะฮุนฮุน ผู้ใหญ่รู้ทุกอย่าง” ลู่หานปีนลงจากบันไดก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวทรงเห็ดอย่างเอ็นดู

                “พี่ฮานฮานเป็นผู้ใหญ่อ๊ะยัง”

                “เป็นแล้วมั้ง” เขาตอบอย่างลังเลใจ ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองเด็กนะ แต่พอเจอฮุนฮุนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอายุแปดสิบ

                “งั้นพี่ก็รู้แล้วสิว่าพี่รักใคร~~~


                หืม
                ไม่รู้แฮะ


                “พี่ยังไม่ได้รักใครหรอก” เขาตอบยิ้มๆ พลางกวาดตามองผลงานที่สะอาดเนี้ยบของพวกเขา ก่อนจะจับมือเล็กให้เดินออกจากห้องเก็บของเล่น

                “ถ้าพี่ยังไม่ได้รักใคร พี่ก็มารักฮุนฮุนจิ” คำพูดล่อแหลมที่ออกมาจากปากเด็กน้อยทำให้คนฟังสั่นไหวพอสมควร 


                ไม่ดิ... ไม่ได้สั่นไหว
                แต่หวั่นไหว


                “เอ่อ... พี่ว่า...” เขาเอามือจับที่หัวใจตัวเองและทำได้แค่ด่าในใจว่ามึงจะเต้นแรงไปไหนอีเหี้ย แต่ก็ไม่อยากพูดออกมาเสียงดังเพราะกลัวเด็กน้อยข้างๆ จะติดคำหยาบจากเขา -w-

                “ฮุนฮุน ฮานฮาน~ มานี่สิลูก” ป้าเอยองกวักมือเรียกขัดจังหวะเด็กทั้งสองคนพลอดรักกัน ก่อนจะพาให้ทั้งคู่ไปเจอกับป๊าชุนกับม๊าบุ๊คที่มายืนรออยู่นานแล้ว

                “ป๊าชุนกับม๊าบุ๊คดีกันแล้วหรอคับ O_O?” ฮุนฮุนผละมือจากพี่ฮานฮานก่อนจะวิ่งไปกอดป๊าม๊าของตัวเอง


                และยิ่งได้รับข่าวดีว่าจะถูกรับไปเลี้ยง


                ... ก็ลืมพี่ฮานฮานไปซะสนิท




                เด็กน้อยเอ๋ย...

                ทำพี่หัวใจเต้นแรง แต่ตัวเองนี่เย็นชาจังเลยนะ T_____T

                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น