วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

ภษคส : 12 B, have you ever loved me?



12
B, have you ever loved me?



วันรุ่งขึ้น

                คู่ของจงอินและคยองซูขับรถกลับคอนโดไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะอ้างว่าไม่อยากอยู่เจอฉากดราม่าของคู่ชุนบุ๊ค ส่วนแบคฮยอนเองก็ทำได้แค่นั่งรอให้คนตัวสูงมารับไปสำนักงานเขตอย่างที่บอกไว้เมื่อวานก่อน... โดยนั่งรอตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้ก็ได้แต่นั่งหลับสัปปะหงก 

                ไม่มีชุนแล้วนอนไม่ได้ แต่ชุนคงนอนคนเดียวได้แหละ


                ...


                “พี่จุน...” น้องชายตัวเล็กที่ตัวโตกว่าเขาโผเข้าซุกที่ซอกไหล่ จุนมยอนได้แต่ตบหลังให้กำลังใจก่อนจะยิ้มใจดี


                “เอาน่ะ... ชุนไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก บุ๊คอย่าไปพูดอะไรประชดประชันนะ ยิ้มเข้าไว้นะได้ยินมั้ย”

                “อื้อ ได้ยินแล้ว... บุ๊คจะพยายามพูดดีๆ” แบคฮยอนกัดปาก อดทนสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหล เขาโตแล้วและไม่อยากให้พี่ชายต้องเป็นห่วง แถมตอนนี้ยังมีฮุนฮุนเพิ่มเข้ามาอีก เขาจะเป็นเด็กร้องไห้งอแงไม่ได้

                “ถ้าอิบ้าชานยอลมันโกรธมึงเมื่อไหร่มึงโทรหากูเลยนะ กูจะตามไปตบหูมัน อิห่า ใช่เรื่องมั้ย มาโกรธอิแบคน้อยๆ ของกูเนี่ย” จีฮเยเท้าสะเอวก่อนจะกลอกตาขึ้นฟ้า “แถมทำมึงอวบอั๋นขนาดนี้ ควรจะมารับผิดชอบด้วยการแต่งงานแล้วมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง อิสาส”

                “ใจเย็นมึง” แบคฮยอนยิ้มแห้งๆ ก่อนจะลูบหลังเพื่อนสนิท 

                “เย็นยังไง ตอนแม่งเดินออกไปนี่อยากวิ่งไปกระชากหัวให้ผมแม่งแหว่งกันไปข้าง แต่กูก็กลัวว่าลูกออกมาจะหัวล้านไง นี่เลยจะไปตบหูแม่งแทน เผื่อลูกออกมาหูจะเหมือนปกติชนเค้าบ้าง” 


                ไม่ทันไรเสียงเครื่องยนต์ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของบ้านตระกูลบยอน คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะคว้ามือเล็กของลูกชายมาจับไว้แน่น 


                “ม๊าไม่เป็นไรนะ ถ้าป๊าตีม๊า ฮุนฮุนจะฟ้องคุณตากับคุณยาย” เด็กน้อยพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่คำพูดเด็กๆ ก็ทำให้คนฟังหัวเราะออกมาได้

                “ฮ่าๆ ป๊าไม่ตีหรอก ฮุนฮุนอย่าโกรธป๊านะเข้าใจมั้ย” แบคฮยอนก้มลงไปพูดก่อนจะจูบที่หน้าผากเด็กน้อย สองขาก้าวออกจากบ้านและเป็นจังหวะเดียวกับคนตัวสูงที่เดินสวนเข้ามา

                “แหะ ขอโทษที่ช้านะ” แบคฮยอนปั้นหน้ายิ้มก่อนจะเดินก้มหน้าไปที่รถ ชานยอลเองก็หันหลังกลับไปที่รถและประจำตำแหน่งคนขับ กระเป๋าเดินทางที่แบคฮยอนลากมาด้วยก็ต้องลากต่อเอง ไม่มีคนมาช่วยถือเหมือนแต่ก่อน... ดวงตาเรียวเล็กหรี่มองคนตัวสูงที่เข้าไปนั่งในรถพลางถอนหายใจ


                ไม่เป็นไร... เราแค่ไม่เข้าใจกัน


                แบคฮยอนเปิดหลังรถก่อนจะเอากระเป๋าเดินทางใส่เข้าไป ร่างเล็กพาตัวเองขึ้นไปนั่งอยู่ที่ด้านข้างคนขับและให้เซฮุนขึ้นมานั่งตักด้วย รถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบ เสียงฮีตเตอร์และเสียงลมหายใจอันเบาบางคงจะเป็นเสียงที่ดังที่สุดในตอนนี้


                เด็กน้อยฮุนฮุนที่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นกาวเชื่อมใจได้ จึงหยิบมือหม่าม๊าไปประสานกับมือซ้ายของปะป๊าที่ตอนนี้วางอยู่บนตักของตัวปะป๊าเอง


                ความอุ่นของมือคนตัวสูงปะทะกับความเย็นเฉียบของมือเรียวเล็ก ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงจะจับมือสองข้างนั้นมาถูให้หายเย็น แล้วหัวเราะคิกคักกัน 


            แต่ตอนนี้มันไม่ใช่


                เรากลายเป็นคนแปลกหน้าที่กำลังจะคลุมถุงชนตัวเอง เพื่อหนีภาษีคนโสดด้วยกัน

                เราแต่งงานกันเพราะไม่อยากเสียภาษี... ก็แค่นั้น


                “ป๊า... ยิ้มหน่อยนะ ยิ้มให้หม่าม๊าหน่อยได้มั้ย หม่าม๊าจะร้องไห้แล้วนะ” เซฮุนพูดพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ยิ่งทำให้หม่าม๊ารับรู้ได้ว่าคนที่นั่งข้างๆ ไม่ได้มีรอยยิ้มเลยซักนิด

                “หึ...” ปะป๊าแค่นหัวเราะก่อนจะผละมือเรียวเล็กอันเย็นเฉียบ แล้วเปลี่ยนไปจับพวงมาลัยแทน

                ไหนเคยบอกว่าถ้ามือว่างเมื่อไหร่จะจับมือเราทันที... แล้วปล่อยทำไม


                เสียงแค่นหัวเราะรำคาญกับภาพมือตัวเองที่ว่างเปล่าทำเอาเจ้าของร่างเล็กไปต่อไม่ถูก นี่คงจะโดนเกลียดจริงๆ... ชุนคงจะเกลียดเราแล้วจริงๆ
                

                “ม... ไม่ต้องไปแต่งงานก็ได้นะ” แบคฮยอนพึมพำออกมาเบาๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาและสิ่งเดียวที่ได้รับอยู่ตอนนี้คือกำลังใจเล็กๆ ที่ได้รับจากการบีบมือเบาๆ ของลูกชาย

                “ทำไมจู่ๆ จะไม่ไปล่ะ... ไปสิ... ไปให้มันจบๆ” คำตอบที่ได้รับดูเหนื่อยล้าเต็มทน เขาเองก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะขาดใครบางคนมานอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดตัวเอง

                “ก็ชุนไม่อยากไปนี่...” พยายามกัดฟันพูดตอบให้ครบประโยค เพราะเสียงสะอื้นอาจจะหลุดออกมา

                “อยากไปสิ บุ๊คอยากทำอะไรชุนก็พร้อมจะทำให้ตลอดแหละ” 

                “อย่าประชดได้มั้ย ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำสิ” แบคฮยอนหันไปมองคนตัวสูงที่ตอนนี้ตั้งใจขับรถอย่างแปลกประหลาด แต่ไม่ทันไรรถก็เลี้ยวเข้ามาในสำนักงานเขต...

                “เอ้า ถึงละ รีบๆ ไปเซ็นให้มันเสร็จๆ เถอะ” คนตัวสูงทิ้งท้ายบทสนทนาก่อนจะจอดรถและเดินนำไปก่อน หม่าม๊ากับลูกชายที่ตอนนี้เหมือนแข่งกันน้ำตาคลอก็ได้แต่เดินตามไปช้าๆ 

                “ปะป๊าใจร้าย ฮุนฮุนจะเกลียดปะป๊า” เด็กน้อยพูดออกมาเบาๆ แต่กลับถูกคุณแม่ตีเบาๆ

                “อย่าพูดแบบนั้นสิ... ปะป๊าไม่ได้ใจร้ายซักหน่อย เดี๋ยวปะป๊าเสียใจนะ”

                “หม่าม๊าจะห่วงปะป๊าทำไม ก็ป๊าชุนทำม๊าบุ๊คเสียใจก่อนนี่นา!” เซฮุนเริ่มขึ้นเสียงและยื้อไม่ยอมเดินไปที่เคาท์เตอร์ แต่เมื่อแบคฮยอนเห็นคนตัวสูงที่ไปนั่งถอนหายใจรอที่เคาท์เตอร์แล้วก็ต้องรีบอุ้มเด็กน้อยให้ตามไป กลัวว่าเขาจะหงุดหงิด กลัวว่าเขาจะรำคาญ

                “พูดดีๆ นะฮุนฮุน อย่าทำให้ปะป๊าโกรธนะ” แบคฮยอนกำชับข้างหูก่อนจะพาไปที่เคาท์เตอร์บริการ ใบมงคลสมรสถูกวางเด่นหราไว้อยู่แล้วและลายเซ็นของปาร์คชานยอลก็ปรากฏอยู่ในช่องเจ้าบ่าวเรียบร้อย

                “เซ็นตรงนี้เลยค่ะ” พนักงานที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นปากกาให้ ว่าที่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมือสั่นเล็กน้อยแต่ก็รับปากกามาไว้ได้ 

                “อ่ะฮุนฮุน เอานิ้วมาปั๊มตรงนี้” คนเป็นพ่อที่อยากจะออกจากสำนักงานเขตให้เร็วที่สุดคว้ามือเล็กมาทาบที่หมึกสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจะวางนิ้วโป้งของเด็กน้อยลงบนตำแหน่ง ลูกบุญธรรม

                “ฮุนฮุนเกลียดปะป๊า” เด็กน้อยกัดฟันพูดก่อนจะจ้องหน้าคนตัวสูงเขม็ง ชานยอลรู้ดีว่าเด็กน้อยรู้สึกอย่างไร ถ้าอธิบายไปตอนนี้ก็คงจะไม่รับฟัง

                “ม๊าบอกแล้วนะว่าให้พูดดีๆ...” เสียงแบคฮยอนลอยมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มตวัดปากกาลงบนกระดาษ


                ทุกอย่างเสร็จสิ้น


                “ขอบคุณมากครับ” คนตัวสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะคว้ากระดาษใบมงคลสมรสมาถือ

                “เดี๋ยวค่ะ คือต้องเอาไปแสกนลายเซ็นก่อน... อันนั้นมันใบร่างนะคะ”

                “ไม่เป็นไรครับ ผมเอาแค่นี้แหละ จะใบจริงใบร่างมันก็ไม่มีค่าอะไรหรอก” พูดจบก็เดินออกไปจากสำนักงานเขตทันที ทิ้งให้พนักงานถึงกับงงและคนฟังอีกคนได้แต่เจ็บแปลบในหัวใจขึ้นมาดื้อๆ


                ทั้งสองคนพาฮุนฮุนไปส่งที่สถานเด็กกำพร้า ก่อนจะขับรถกลับคอนโดเงียบๆ ภายในรถยังคงเงียบ เหมือนเดิมแต่ครั้งนี้มีอะไรพิเศษขึ้นมาหน่อย...


                น้ำ... เป็นองค์ประกอบเดียวที่ไม่ควรอยู่บนใบหน้าในเวลานี้ 

                กัดปากก็แล้ว... บีบมือตัวเองก็แล้ว... พยายามกลอกตาขึ้นฟ้าก็แล้ว... พยายามคิดเรื่องอื่นก็แล้ว

                แต่แม่งก็ยังวกกลับมาหาคนข้างๆ ที่ใจร้ายเหลือเกิน



                รักชุนขนาดนี้... แต่ชุนก็ยังมองว่าเราเป็นเพื่อนกัน 


                ก็อยากให้ชุนแต่งงานกับคนที่ชุนรักนะ แต่ทนเห็นชุนแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้จริงๆ 

                เพราะฉะนั้น... ขอบังคับให้ชุนแต่งงานกับเราเถอะ ถึงชุนไม่รักก็ไม่เป็นไร ซักวันหนึ่งความผูกพันและระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมานานคงจะทำให้ชุนรักเราได้ล่ะมั้ง



                ขอบคุณภาษีคนโสดนะ

            ไม่อย่างนั้นก็หาเรื่องมาบังคับให้ชุนแต่งงานด้วยไม่ได้


                “ขอโทษที่บังคับนะ... แหะๆ” แบคฮยอนหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะแอบยกมือมาปาดน้ำตาลวกๆ เอาให้มันไม่ไหลโจ่งแจ้งก็พอ

                “ไม่ได้บังคับอะไรซักหน่อย เต็มใจ”

                “เฮ้ย อย่าประชดดิ” แบคฮยอนพยายามร่าเริงและตบบ่าคนตัวสูงเบาๆ เหมือนยังอารมณ์ดีได้อยู่


                จะประชดไปถึงไหน... เกลียดก็บอกกันมาตรงๆ ไปเลยได้มั้ย


                คนตัวเล็กได้แต่คิดน้อยใจก่อนจะเบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็นั่งกัดปากกลั้นน้ำตาไม่ต่างกัน


                มึงอารมณ์ดีมากหรอ... มึงได้หนีภาษีสมใจแล้วนี่ เออ... กูก็เป็นแค่ตัวหนีภาษีของมึงระยะเวลาที่ผ่านมาก็เป็นแค่อากาศธาตุที่มึงแม่งไม่เคยจะเห็น

                เชี่ย กากว่ะชานยอล ชาตินี้จะเป็นเพื่อนกับมันจนวันตายเลยปะวะ



**********



                “ชุนขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวกูซื้อข้าวเที่ยงให้” เมื่อทั้งคู่มาถึงคอนโด แบคฮยอนก็ไล่ให้ชานยอลขึ้นไปก่อน กลัวว่าถ้าเดินข้างกันไปจะอึดอัดมากกว่าเดิม


                ชานยอลเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ข้างๆ ให้อึดอัดอยู่แล้ว เขาจึงขึ้นไปที่ห้องทันที แบคฮยอนเองก็ยิ้มกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าปล่อยโฮอยู่ตรงบ้านของ ชุนนี่หมาน้อยพันธุ์ดัชชุนที่วิ่งมาคลอเคลียอยู่ข้างๆ

  
                “บ๊อกๆ!” เจ้าชุนนี่เห่าเรียกก่อนจะเลียที่แขนของคนตัวเล็ก 

                “อื้อ ชุนนี่ อย่าเลียสิ” แบคฮยอนพูดก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาและนั่งขัดสมาธิ แต่เจ้าชุนนี่กลับปีนขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะนอนหงายเหมือนจงใจให้คนตัวเล็กเล่นกับเขา


                เล่นสิ เล่นเยอะๆ จะได้ไม่ร้องนะ


                “งื๊อ ดูอารมณ์หน่อยสิชุนนี่ ร้องไห้จนตาบวมยังจะให้เล่นอีก” คนตัวเล็กบ่นแต่ก็เอามือไปถูที่หน้าท้องของเจ้าชุนนี่และฟัดจนหนำใจ 

                “บ๊อกๆ!” เจ้าชุนนี่ที่เห็นว่าแบคฮยอนอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงเห่าแล้ววิ่งหนีไป


                ชุนนี่ใจดีจัง... 

                แต่ชุนใจร้ายมากๆ เลย



**********



                “ไงล่ะไอ้เวร ถ้าแบคฮยอนเสียใจกูจะฆ่ามึง” คยองซูที่นั่งรอชานยอลกับแบคฮยอนให้กลับมารีบแขวะทันทีที่เห็นคนตัวสูงไขกุญแจเข้ามาในห้อง 

                “มึงเข้ามาในห้องกูได้ไงวะ”

                “แบคทำกุญแจสำรองไว้ให้”

                “สัส หลบไป กูจะสูบบุหรี่” คนตัวสูงที่หงุดหงิดตัวเองรีบเดินไปที่ระเบียงห้องก่อนจะหยิบ Marlboro กลิ่นประจำขึ้นมาจุดไฟ ควันบุหรี่จำนวนมากพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าภายในระยะเวลาอันสั้น


                เขาสูบอยู่นาน... สูบนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สูบเสียจนกลิ่นลมหายใจและกลิ่นเสื้อผ้าของเขาเป็นกลิ่นบุหรี่โดยสมบูรณ์ จนทำให้เพื่อนตัวเล็กอดเครียดไม่ได้


                “แบคอยู่ไหน มาสูบอย่างนี้ทำไม” คยองซูเดินตามเข้ามาที่ระเบียงห้อง ก่อนจะหยิบที่เขี่ยบุหรี่ที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้ออกมา มือเล็กหยิบบุหรี่ในมือเพื่อนมาปักลงในที่เขี่ยบุหรี่ แต่คนตัวสูงก็หยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุด

                “เรื่องของกู ไม่ต้องมายุ่ง”

                “ชานยอล พูดดีๆ หน่อย อย่าให้กูโมโหนะ” 

                “โด้ กูขอร้องให้ถอยออกไป กูไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะให้ใครมาด่ามาสอน” เมื่อได้ยินแบบนั้นคยองซูก็เดินถอยออกไปทันที แต่ก็ต้องหยุดชะงัก...

                “ชานยอล กูเตือนมึงแล้วนะ... คุยให้รู้เรื่องแล้วกัน” คยองซูทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้เขางงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างสูงหันไปมองด้านหลังและก็ต้องตกใจอย่างที่ไม่เคยตกใจมาก่อน
                

                บุ๊ค... ยืนอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่


                สามัญสำนึกในใจทำให้เขาปักบุหรี่ห่าเหวลงในที่เขี่ยบุหรี่ทันที ขายาวทั้งสองข้างเดินไปหาคนตัวเล็กอย่างเชื่องช้า และทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิม

               
                “ส... สูบตั้งแต่เมื่อไหร่” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กลิ่นบุหรี่ที่เกลียดที่สุดในโลกปะทะเข้าไปในจมูกของเขาจนต้องย่นจมูกและกลั้นหายใจ

                “...”

                “ถ้าบอกว่าพึ่งสูบวันนี้จะขอบคุณมาก”

                “ม.ห้า” ร่างสูงเลือกที่จะตอบไปตรงๆ แววตารู้สึกผิดและอยากกราบขอโทษฉายชัด แต่เหมือนคนตัวเล็กจะมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว

                “มึงบอกว่าจะดูแลกู... แต่มึงไม่ดูแลตัวเองเนี่ยนะ”

                “กูดูแลตัวเองตลอด” คนตัวสูงเถียง

                “...”

                “มองไร” และเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าแบคฮยอนไม่ยอมมองหน้าเขา แต่กลับมองที่หน้าอกแทน จึงเอ่ยปากถามอย่างหงุดหงิด

                “ฮึก... มองว่าปอดชุนจะเป็นยังไง มันต้องดำเหมือนใจมึงแน่ๆ... ฮึก...” หลังจากที่กลั้นน้ำตามาตลอดตั้งแต่เมื่อวาน เสียงสะอึกสะอื้นก็หลุดเล็ดรอดออกมาจนคนได้ยินตกใจ... 


                ที่ผ่านมากูเป็นแค่คนใจดำงั้นหรอ?


                “... มึงรู้ได้ไงว่ากูใจดำ” 

                “ชุนใจร้าย ใจดำมากๆ ด้วย ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็ไม่รับซักที” 

                “เดี๋ยวนะ... มึงเคยให้อะไรกู กูต่างหากที่เป็นคนให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมึงก็ไม่เคยรับรู้ซักที มึงเป็นใครไม่ทราบ มึงเกี่ยวอะไรกับกูครับ?” คนตัวสูงของขึ้น ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห 

                “... เป็นภรรยาตามกฎหมาย” ร่างเล็กตอบเบาๆ ไม่คาดหวังว่าจะได้หัวใจ แค่ได้ตำแหน่งนี้มาก็ดีใจจะตายอยู่แล้ว

                “อ้อหรอ... อ้อหรอ...”

                “...”

                “แล้วภรรยาตามร่างกายน่ะ อยากลองเป็นมั้ย?”

                “ไม่เอานะชุน” แบคฮยอนถอยหลังกรูด แต่เหมือนจะหนีไปไหนไม่พ้น เพราะมือใหญ่คว้าเอวเขาไว้ได้ทันและลากไปที่ห้องนอน คนตัวเล็กก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรมากเสียด้วยซ้ำ...


                ใจหนึ่งก็คิดว่าไม่รักกันแล้วจะมีอะไรกันทำไม?

                แต่อีกใจก็คิดได้แค่ว่า... มันเป็นสิ่งที่เราเฝ้ารอมาตลอดไม่ใช่หรือ?


                “อย่าทำอะไรดีกว่านะชุน ถ้าจะแตกหักตรงนี้ก็ขอให้เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ได้มั้ย...” เจ้าของพวงแก้มนิ่มเริ่มสั่นด้วยความขลาดกลัว ขาเล็กกระเสือกกระสนถีบผ้าห่มบนเตียงราวกับต้องการหนทางหนี

                “เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่ากูไม่เคยเป็นเพื่อนกับมึงมาตั้งนานแล้ว คนที่มึงเห็นตอนนี้ก็คือปาร์คชานยอล คนเหี้ยๆ ธรรมดาๆ คนนึง” เขาพูดนิ่งๆ ก่อนจะก้มหน้าเข้มลงซุกที่ซอกคอขาว ประทับรอยแดงและขบเม้มจนเป็นรอยฟันจางๆ...


                ครั้งนี้ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเดียว แต่ใส่อารมณ์โมโหคุกรุ่นลงไปอีกด้วย


                “... เจ็บมั้ย” เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปและยังคงเงยหน้าขึ้นมาถามความรู้สึก

                “ถ้าชุนทำน่ะ ไม่เจ็บหรอก”

                “...”

                “แต่ถ้าชานยอลทำน่ะ... เจ็บมาก” 

                “ฮ่าๆ นี่มึงเกลียดปาร์คชานยอลหรอ... งั้นบอกเลยนะ ชานยอลก็คือชานยอล ชุนก็คือชุน แต่มันเสือกอยู่ในร่างเดียวกัน”

                “...”

                “คนนึงออกมาตอนปกติ แต่อีกคน... จะออกมาตอนอยู่กับมึงเท่านั้น” ไม่พูดเปล่า เขายังยิ้มใจดีให้ดูอีกเป็นครั้งสุดท้าย ยิ้มที่ยิ้มให้ตลอดแต่อีกฝ่ายไม่เคยจะรับรู้

                “กูอยากเจอปาร์คชานยอล กูอยากรู้ว่าแม่งเหี้ยยังไง” คนตัวเล็กท้าทาย 

                “ฮึ... เมื่อกี้ก็เจอไปนิดนึงแล้วไม่ใช่หรอ ลองไปถามคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองสิ... ทุกคนเคยเจอปาร์คชานยอลกันมาหมดแล้วทั้งนั้นแหละ...” พูดนิ่งๆ ก่อนจะถลกเสื้อยืดสีครีมของคนตัวเล็กขึ้น จนเห็นเรือนร่างขาวเนียนที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตลอด “... และทุกคนก็พูดได้คำเดียวว่ากูเหี้ยจริง”


                 เพียงแค่จบประโยคก็เหมือนปาร์คชานยอลจะเผยตัวตนออกมาเสียที ใบหน้าที่แบคฮยอนคิดว่าน่ารักก็กลายเป็นใบหน้าคมเข้มที่ดุดัน ริมฝีปากหนากดเม้มตามหน้าอกขาวเนียนและไล้ลงมาที่หน้าท้อง แบคฮยอนเกร็งหน้าท้องแน่นเมื่อถูกโลมเลียที่ปลายสะดือจนเกือบจะลงไปถึงส่วนที่ต่ำกว่านั้น 


                “มึงเป็นใคร...” คนตัวเล็กปริปากถามและนั่นก็ทำให้ชานยอลชะงักไปเล็กน้อย

                “ชานยอล”

                “งั้นมึงออกไปจากตัวกู... กูอนุญาตแค่ชุนคนเดียว” 

                “เฮอะ!” เจ้าของชื่อชานยอลและชุนหัวเราะในลำคอก่อนจะนั่งลง มองผิวขาวๆ และเนื้อนิ่มเนียนที่ตอนนี้ไม่เหลือความเป็นสมบัติล้ำค่า
                

                ขอโทษ กูหวงมึงมากรู้มั้ย...

                ... แต่คิดว่าจะกล้าพูดหรอ


                “ชุนจะไม่อยู่ที่นี่แล้วใช่มั้ย จะเหลือแต่ไอห่าปาร์คชานยอลนี่แล้วใช่มั้ย” แบคฮยอนจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองขณะที่กำลังเอ่ยปากถาม พยายามทำหน้านิ่งๆ เหมือนไม่คิดอะไร แต่ในหัวมีแต่ฮุนฮุน เด็กน้อยที่จู่ๆ ก็กลายมาเป็นลูกและ... ชุนคนเดิม ชุนน่ะ แค่ชุน

                “ใช่”

                “ดี งั้นกูจะได้ไป” เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ติดป้าย ‘B’ ร่างเล็กพยายามหอบเสื้อที่แขวนอยู่ในตู้ลงบนพื้น ก่อนจะเดินไปหากระเป๋าเดินทางใบใหญ่... แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นคนซื้อให้ งั้นอย่าเอาไปด้วยจะดีกว่า

                “นี่มึงจะไปไหน” ชานยอลที่พึ่งตั้งสติได้ เขารีบลุกขึ้นก่อนจะคว้าข้อมือเล็กที่ตอนนี้สั่นไปด้วยความขลาดกลัว

                “ไหนๆ กูก็ไม่มีศักดิ์ศรีจะอยู่ที่นี่แล้วนี่... อยู่ไปชุนก็ไม่รักซักที แล้วจะอยู่ทำไม” คนตัวเล็กอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่เผลอพูดอะไรออกไปแบบนั้น แต่ ณ ตอนนี้มันจะแตกหักยังไงก็ให้มันแตกไปเถอะ มันไม่เหลืออะไรจะแตกได้อีกแล้ว


                คนตัวสูงชะงัก... ไม่รู้ว่าที่แบคฮยอนพูดออกมาคืออะไร


                “อย่าพึ่งไปเลยนะ มาคุยกันก่อน...” เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้าไม่ยอมเปิดใจคุยกันคงจะไม่จบไม่สิ้น

                “จะคุยกับชุน ไม่คุยกับชานยอล”

                “ก็ชุนอยู่นี่แล้วไง... ชุนอยู่นี่ไง”

                “เหอะ ไม่รู้จะเชื่อยังไงแล้วอ่ะ... กลัวว่าชุนจะหายไป แล้วชานยอลแม่งจะกลับมาอีก... กลัว...” จู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นในดวงตากลมโตของร่างสูงที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก ทุกคำพูดที่ได้ยินคือความจริง เพราะยังไงชานยอลก็คงจะกลับมาอีกแน่ๆ

                “บุ๊ค...”


                ถ้าหากวันนี้
                จะบอกว่ารัก จะฟังฉันไหม



                “...”

                “รักนะ ได้ยินมั้ย”
                

                เขาพยายามต่อต้านความรู้สึกกบฎในใจที่ปิดกั้นมาตลอด ลองเอื้อนเอ่ยความในใจออกไป และคงจะเป็นคำสารภาพครั้งแรกในชีวิต

                “แหะ... ไม่ได้ยิน” คนตัวเล็กยิ้มเผล่ ดวงตาเรียวเล็กหยีจนเกือบปิดสนิทก่อนจะชี้ไปที่หูของตัวเอง “ไอ้พวกนี้น่ะได้ยิน”

                “...”


                และชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง


                “แต่ตรงเนี้ย มันปิดไปแล้วอ่ะ มันกลัว...” ร่างเล็กพยายามฝ่าม่านน้ำตาจ้องมองกองเสื้อผ้าที่อยู่ตรงพื้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า... “เสื้อผ้าพวกนี้ก็เงินชุนหมดเลยนี่นา งั้นกูก็ไม่ต้องเอาอะไรไปสิ”

                “บุ๊ค...”

                “บ๊ายบาย~ ฮี่ฮี่” แบคฮยอนพยามยิ้มจนปากฉีก แต่น้ำตาที่ค่อยๆ ไหลมาจากมุมหางตาก็เป็นตัวยืนยันว่าความจริงไม่ได้อยากจะยิ้มเลยซักนิด

                “บุ๊ค อย่าพึ่งไป ฟังก่อนได้มั้ย...”

                “ขอทำอะไรบางอย่างสิ... อย่าเกลียดนะ” คนตัวเล็กยังคงยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า หันรีหันขวางเหมือนจะเดินออกไปจากห้องแต่ก็ยังลังเล...

                “ทำเลยครับ” คนตัวสูงหลับตาแน่นิ่ง รอมือเล็กๆ มาตบที่หน้าของเขาเต็มที่


                แต่สัมผัสนุ่มนิ่มที่ริมฝีปากตัวเองทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น


                คนตัวเล็กที่หลับตาพริ้มแต่มีคราบน้ำตาบนใบหน้า... 

                กำลังเขย่งตัวขึ้นมาจูบเขา


                “แหะ” ร่างเล็กยิ้มจนตาปิดก่อน “ขอโทษทีเน้ อารมณ์มันพาปาย~

                “บุ๊ค กู...”

                “ข้าวเที่ยงซื้อให้แล้วนะ >_< อยู่บนโต๊ะเลย อย่าลืมกินด้วยนะ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ” แบคฮยอนเอามือถูที่ท้องตัวเองก่อนจะชูนิ้วโป้งให้

                “บุ๊ค กูรักมึงนะ”

                “จ้าๆ รู้แล้วจ้า~” คนตัวเล็กตอบรับยิ้มๆ ก่อนจะหันหลังให้เขา ขาเรียวเล็กก้าวออกจากห้องช้าๆ อย่างอาลัยอาวรณ์ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ... นานเหมือนกันเนอะ

                “แล้วจะไปไหน...”

                “...” 


                ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาเพราะคนถามเสียงเบาเหลือเกิน และไม่ทันไรเขาก็ได้ยินเสียงประตูห้องปิดลง...
                

                ทุกอย่างเสร็จสิ้น


                “เหี้ย... กูแม่งเหี้ย...” ชานยอลพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปรอบๆ ห้อง... นี่ออกไปจากห้องจริงๆ หรอ นี่ไปจริงๆ หรอ...


                ร่างสูงหยิบ Marlboro ขึ้นมาอีกครั้ง

                ก่อนจะทิ้งลงถังขยะ


                เขาเปิดประตูห้องและชะโงกหน้าออกไปดูว่าคนตัวเล็กแอบอยู่หลังประตูเพื่อรอให้เขามาง้อรึเปล่า แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว... 

                อ... อาจจะไปอยู่ที่ห้องโด้ก็ได้


                ขายาวๆ พาตัวเองไปที่ห้องฝั่งตรงข้าม เสียงรายการทีวีและเสียงหัวเราะคิกคักของคนในห้องบอกว่าแบคฮยอนคงไม่ได้อยู่ในนี้ แต่มือหนาที่สั่นเทาก็บังคับตัวเองให้เปิดประตูเข้าไป


                “อ้าวว่าไง ดราม่าหายยัง?” คยองซูที่เห็นเพื่อนเข้ามาก็ทักทายยิ้มๆ และหันกลับไปขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของจงอิน แต่เมื่อได้รับความเงียบตอบกลับมาจึงหันไปมองด้วยแววตาสงสัย


                ภาพที่เห็นคือเพื่อนตัวสูงที่แข็งกระด้างกำลังยืนพิงกำแพงอย่างเหนื่อยล้า มือใหญ่ทั้งสองยกขึ้นมาจับที่ใบหน้าและเหมือนจะเริ่มสะอึกสะอื้น...


                “เฮ้ย เป็นไร แบคไปไหน” คยองซูที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินไปหา และเมื่อแกะมือทั้งสองออกมาก็เจอน้ำตาที่เปรอะไปทั่วใบหน้า

                “มึง... แบคแม่งไม่อยู่กับกูแล้วอ่ะ... ฮึก... กูบอกรักมันไปสองรอบแต่มันก็ไม่ฟัง เชี่ยเอ๊ย” เขาเตะกำแพงอย่างขัดใจ ภาพที่น่าสมเพชขนาดนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับเขาได้เลย

                “ใจเย็น”

                “ตอนนี้มันจะไปที่ไหนได้วะ... กูกลัวแม่งโดนรถชน โดนนู่นโดนนี่ ถ้าแม่งเป็นไรไปขึ้นมาทำไง”

                “มึงไปเหี้ยใส่มันก่อนใช่มะ” คยองซูดักทางอย่างรู้ทัน

                “ใช่ กูเหี้ยใส่มันก่อน... และมันคงจะเสียใจมาก... มันอาจจะรักกู แต่กูไม่รู้อ่ะว่ามันรักกูเพราะสงสารกูรึเปล่า... เหี้ยๆๆๆ ทำไมชีวิตแม่งสับสนงี้วะ กูอยากให้มันกลับมา...” ชานยอลทั้งสบถทั้งฟูมฟาย แต่เพื่อนที่ยังมีสติก็คงยืนปลอบอยู่ข้างๆ

                “ขอถามมึงตรงๆ”

                “...”

                “อยากให้มันกลับมาแบบเพื่อนสนิท ชุนบุ๊คเฟรนด์ฟอเรเวอร์...”

                “...”

                “หรือชุนบุ๊คฮุน ครอบครัวสุขสันต์ รักกันจริงๆ”

                “ชุนบุ๊คฮุน” ร่างสูงตอบแบบไม่ต้องคิด ภาพที่วาดฝันถึงครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกยังคงแว๊บเข้ามาในหัว 

                “โอเค ถ้างั้นก็โทรไป ตอนนี้”

                “ห้ะ!? โทรทำไม? โทรแล้วมันจะรับรึไง”

                “ไม่รับก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารับก็ดีอ่ะจริงปะ? แล้วก็ใช้โอกาสนี้อ้อนเข้าไว้ อ้อนมากๆ เดี๋ยวมันก็ยอมเอง” คยองซูนึกภาพว่าป่านนี้แบคฮยอนคงกำลังนั่งกำมือถือรอให้ชานยอลโทรไปหาแน่ๆ แต่ก็ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวคนบางคนแถวนี้มันจะเหลิง

                “ล... แล้วให้กูพูดว่าอะไร” คนตัวสูงเริ่มลนลาน
                                

                ทุกๆ วันเหมือนฉันเริ่มจีบเธอใหม่ๆ
                

                “พรุ่งนี้นัดเคลียร์ เอาให้รู้เรื่อง เอาให้ชัดเจน ไม่มีการปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น” คยองซูไม่พูดเปล่า ควานหาโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนหรูๆ แต่กลับเป็นมือถือที่โทรเข้าโทรออกได้อย่างเดียวในกระเป๋ากางเกงของชานยอลก่อนจะกดโทรออกเบอร์ฉุกเฉินเบอร์แรก 

                “เฮ้ย รีบมากหรอมึง”

                “รีบมากเว่... ฮัลโหล? อ่ะแป๊บนะ ชานยอลจะคุยด้วย” กดโทรออกไม่ทันไร ปลายสายก็รีบรับทันที คยองซูยื่นมือถือให้เพื่อนรักก่อนจะกระซิบ “กำมือถือรอมึงแน่ๆ -3-

                “ฮ... ฮัลโหล บุ๊ค...” ไม่เคยคุยกับคนนี้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ และตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน

                (หืม?)

                “อยู่ไหนอ่ะ” ร่างสูงเดินหนีจากเพื่อนและออกมานอกห้อง ทรุดลงนั่งอยู่บนทางเดินก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

                (กำลังกลับบ้านน่ะ พี่จุนโทรมาบอกให้ไปอยู่กับพี่เค้า ไม่ต้องเป็นห่วงนะฮี่ฮี่~)

                “โอเค งั้นไม่เป็นห่วงก็ได้ครับ อ้อ... พรุ่งนี้เจอกันได้มั้ย ที่ร้านอาหารอิตาเลียนที่เราชอบกินอ่ะ สิบเอ็ดโมงนะ” ชานยอลพูดยิ้มๆ ก่อนจะก้มลงมองกำไลข้อมือแพตตินั่มที่สลักคำว่า ‘Buk’ อยู่บนนั้น 

                (ได้ๆ เอาโซจูป่าว เดี๋ยวขอพี่จุนให้)

                “ไม่เป็นไร บ้านเรามีเยอะแล้ว ไม่ต้องเอามาเพิ่มแล้วนะรู้มั้ย” เขาเน้นคำว่า บ้านเราให้ปลายสายได้รู้สึกตัว และดูเหมือนคนฟังจะสัมผัสได้นิดหน่อย

                (... อ... อ๋อ โอเค พรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างอ่ะ)

                “ก็... มาเดทกัน” เขากลายเป็นคนเสียงสั่นเสียเอง ยิ้มจนแก้มจะแตกก็หยุดยิ้มไม่ได้

                (อ๋อ... งั้นกูใส่เสื้อตัวนั้นที่มึงชอบดีมั้ย เสื้อยืดสีฟ้าตัวนั้นอ่ะ) เมื่อพูดถึงแล้วก็อดนึกภาพตามไม่ได้ ใช่... เสื้อยืดสีฟ้าตัวนั้นเขาเป็นคนซื้อให้เองและบอกว่ามันเข้ากับคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี

                “ใส่อะไรก็น่ารักหมดแหละ”
 
                (อื้อ...) ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนทางฝ่ายนู้นก็เขินไม่แพ้กัน

                “อย่าลืมใส่สเวทเตอร์มาด้วยนะ อากาศเย็นแล้ว อย่าดื้อนะรู้มั้ย”

                (ไม่ดื้อหรอก แต่เดี๋ยวกลับบ้านไปจะนอนแก้ผ้าเล้ย~ อิอิ แค่นี้น้า)

                “ฮ่าๆๆ โอเค ขอบคุณมากนะ ชุนรักบุ๊คมากนะรู้มั้ย” 

                (รู้อยู่แล้ว~ บาย) ปลายสายวางไปและเขาก็เป็นคนเดียวที่กำโทรศัพท์แน่น เหม่อมองเพดานก่อนจะยิ้มเบาๆ


                ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี

                ขอให้เรารักกัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น