วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

ภษคส Ending 4: We don’t need to pay this crazy TAX.





Ending 4: We don’t need to pay this crazy TAX.

(เราไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีคนโสดอีกแล้วล่ะ)







                “วันนี้ใครเป็นเด็กดีของครูแบคบ้างเอ่ย ยกมือซิ” ร่างเล็กพูดเจื้อยแจ้วอยู่หน้าห้องก่อนที่เด็กๆ ในห้องจะยกมือขึ้นพรึ่บ แน่นอนว่าเรียกรอยยิ้มน่ารักๆ จากครูแบคได้เป็นอย่างดี

                “เอาล่ะๆ งั้นเข้าแถวมาเลย รับช็อกโกแลตไปคนละหนึ่งอันนะจ๊ะ เสร็จแล้วก็กลับบ้านได้” เด็กๆ ทำตามที่บุ๊คบอกและไม่นานนักบุ๊คก็สามารถเคลียร์นักเรียนอนุบาลออกจากห้องได้


                คนตัวเล็กปาดเหงื่อก่อนจะลบกระดานอย่างขะมักเขม้น ผมจึงเดินเข้าไปหา


                “ไง...” 

                “อ้าวชุน! ฮี่ฮี่ มาหาหรอผมทำไมหรอครับผ.อ. อิอิ” บุ๊คยิ้มจนลักยิ้มใต้ตาโผล่ออกมา ผมจึงยื่นช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปของสตาร์บัคส์ให้ดื่ม

                “พอดีว่างน่ะ เลยขับรถไปซื้อในตัวเมือง”

                “ฮ่าๆๆๆ ไม่ได้กินนานแล้วเหมือนกัน ขอบคุณนะ” บุ๊คพูดก่อนจะดูดช็อกโกแลตปั่นเหมือนหิวน้ำมานาน ผมจึงดันให้เจ้าตัวไปที่อื่นก่อนจะหยิบแปรงลบกระดานมาลบเอง

                “เหนื่อยเลยสิ”

                “อื้อ เหนื่อยแต่มีความสุขที่สุดเลย >w< เด็กๆ รุ่นนี้น่ารักมากเลยแหละชุน” ผมหัวเราะกับคำพูดของบุ๊ค คนนี้ไม่เคยมองโลกในแง่ร้ายเลยจริงๆ

                “เออบุ๊ค...” ผมตั้งใจจะเรียกให้มาเล่นของเล่นเด็กด้วยกัน แต่สีหน้าซีดเซียวของบุ๊คก็ทำเอาผมเครียด “เฮ้ย เป็นไร”

                “ไม่ได้เป็นไ...” เจ้าตัวพูดจบก็เซจนตัวเอียงและเกือบล้มไปนอนกับพื้น โชคดีที่ผมยังตั้งสติได้และประคองบุ๊คไว้ทัน

                “บุ๊ค...” ผมพึมพำและพยายามเขย่าตัวเรียก แต่บุ๊คก็ดันหลับตาและแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนผม


                แม่งเอ้ย 

                คราวหลังกูจะไม่ให้แม่งทำงานละ




                ผมรีบอุ้มบุ๊คไว้ในอ้อมอกตัวเองและพาขึ้นรถ ก่อนจะรีบขับรถไปที่โรงพยาบาลในตัวเมืองซึ่งใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีถึง


                เหี้ยเอ๊ย เหี้ยๆๆๆๆๆๆๆ 

                ถ้าแม่งเป็นอะไรขึ้นมา กูจะอยู่ยังไงวะ




                ผมขอหมอที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลและให้บุ๊คเข้าห้องวีไอพีไปเลย แต่หมอก็เช็คอาการไม่นานนักก่อนจะออกมาบอกว่า...


                เหมือนวันนี้จะไม่ได้ทานอะไรเลยน่ะครับ ตอนนี้ฟื้นแล้วนะครับ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้


                ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง เห็นเจ้าตัวดีเอาผ้าห่มคลุมหน้าตัวเองไว้แล้วโผล่มาแต่ตาที่สำนึกผิดสุดๆ

                “ก๋อโต้ดดดดดดด เตรียมการสอนหนักไปหน่อยอ่ะแงๆ” ดูมันพูดเข้า =_= ผมได้แต่ถอนหายใจและลากเก้าอี้ไปนั่งข้างมัน ก่อนจะดึงผ้าห่มออก

                “สอนเด็กอนุบาลยังจะเตรียมการเรียนสอนอะไรเยอะแยะขนาดนั้น!

                “งือออออออออออ ขอโทษษษษษ TT^TT

                “ทำแบบนี้มันน่าเอาไม้เรียวก้านมะยมมาตีจริงๆ”

                O_O!!! มันยังมีชีวิตอยู่อีกหรอ!! กูบอกตอนนั้นแล้วใช่มั้ยว่าให้เอาไปทิ้ง!” บุ๊คโวยวายขึ้นมาทันที เออ ดูเหมือนจะหายดีแล้วสินะ

                “ยังไม่ทิ้งเว่ย! อายุสามสิบแล้ว... ก็ตีสามทีสิเนี่ย” ผมแกล้งทำเป็นเกาคางใช้ความคิด

                “ไม่เอาาาาา สัญญาว่าจะไม่ทำแล้วนะ ขอร้องนะ T__T” บุ๊คเอามือมากุมมือผมไว้ และผมก็กุมมือมันกลับ

                “บุ๊ค...”

                “...”

                “ไม่เอาแล้วนะ... ไม่วูบแบบนี้แล้วนะ สัญญาก่อน” ผมรู้สึกว่าน้ำตาจะไหลขึ้นมาเฉยๆ ภาพที่มันวูบคาแขนตัวเองยังคงแวบเข้ามาในหัวไม่หยุดเลย

                “อื้อ สัญญา”

                “เออ ก็...” ผมพูดอะไรไม่ออก “ฮะๆ จะร้องเฉยเลย”

                “เฮ้ย ร้องไมอ่ะ” เจ้าตัวเล็กตกใจและเขยิบมาหาผมทันที มือเล็กนั่นลูบหลังผมและผมก็คิดว่ามันยิ่งกระตุ้นให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม

                “อย่า... อย่าเป็นแบบนี้อีกนะ มึงคนเดียวกูยังดูแลไม่ได้... กูจะไปดูแลใครได้อีกวะ”

                “ขอโทษ... ชุน... บุ๊คขอโทษ” เจ้าตัวเล็กกอดผมและหอมแก้มผมไม่หยุดจนผมยิ้มออกมานั่นแหละ ถึงจะหยุดหอมแก้มผมซักที

                “ยิ้มแล้วจ้า เด็กดื้อคนนี้นี่น่าตีจริงๆ” ผมพูดพลางหยิกแก้มทั้งสองข้างของบุ๊คจนปากมันจะฉีก

                “ออกไปนั่งนอกระเบียงได้ป่าว” 

                =___=

                “นะๆๆ สัญญาว่าจะให้หอมสามที”

                “สิบ” ผมแก้คำผิดและคนฟังก็เบะปาก แต่สุดท้ายก็ยื่นหน้ามาให้ผมฟัดได้สิบทีสมใจ


                ผมประคองบุ๊คออกไปนั่งนอกระเบียงทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าหายแล้ว แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอก และเนื่องจากนอกระเบียงมีเก้าอี้ตัวเดียว... 

                มันเลยจับผมไปนั่งตักมัน -_-;


                “นี่ๆ เอาผ้าห่มมาห่มด้วย” มันถือผ้าห่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้บุ๊คเอาผ้าห่มมาพันตัวผมกับมันไว้ด้วยกันจนจะกลายเป็นเบคอนห่อเห็ดเข็มทอง (ทำไมต้องคิดถึงของกิน TwT)

                “คิดอะไรอยู่” ผมหันไปถาม ความจริงผมนั่งตักมันไม่เต็มก้นหรอก กลัวว่านั่งเต็มๆ แล้วขามันจะหักเอา

                “อืม... คิดถึงตอนป.หนึ่ง”

                “ห้ะ”

                “ชุนรู้ป่าว ความจริงตอนนั้นกูก็เขียนชื่อตัวเองถูกนะ... แต่เขียนคำว่า BukHyun เพราะอยากตีสนิทมึง อยากให้มึงแก้ให้” บุ๊คพูดอู้อี้อยู่ข้างหลังผม

                “ตอแหลแต่วัยเยาว์” พูดจบก็โดนมันตีหลังดังปั้ก

                “แหม ตอนนั้นมึงก็ตอแหลพอตัวแหละ มาทำเป็นแก้ชื่อตัวเองเป็น ChunYeol คิดว่าเท่มากสินะ” ผมโดนบุ๊คแซะกลับครับ

                “ก็...”

                “...”

                “อยากให้เราพิเศษกันสองคนนี่หว่า” รู้สึกดีที่มันให้ผมนั่งตัก มันเลยไม่เห็นหน้าผมว่าเขินขนาดไหน

                “ถามจริง ชอบกูตั้งแต่ตอนไหน แจกแจงรายละเอียดให้ฟังซิ” มันเขย่าขาตัวเองเป็นการเร่งให้ผมพูดไวๆ นี่ก็เซ้าซี้จัง ใช่สิ กูชอบมึงก่อนกูเสียเปรียบหนิ ;-;

                “ตอนเด็กๆ ก็เห็นว่ามึงน่ารักเฉยๆ พอประมาณป.ห้าถึงค่อยชอบ...”

                “...”

                “ตอนม.สามที่มึงย้ายออกมาอยู่กับกูก็เลยเปลี่ยนเป็นรักเฉยๆ”

                “มีรักเฉยๆ ด้วย O / / O

                “เอ่อ... แล้วตอนม.หกที่ป๊ากูเสีย ตอนนั้นแหละ... กูเลยมองว่ามึงเป็นรักแท้” ผมพูดพลางเกาหัว แสร้งทำเป็นมองวิวด้านหน้าไม่สนใจคนที่ผมนั่งตักอยู่


                ตอนนั้นที่ป๊าเสีย... บุ๊คปลอบผมและอยู่ข้างผมตลอดเวลา

                นั่นแหละ ทำให้ผมรักบุ๊คจนโงหัวไม่ขึ้น


                “แง่มๆ ไม่ต้องพูดแล้ว เขิน” เสียงพึมพำเล็กๆ แว่วมาจากด้านหลัง “เฮ้อ นี่โชคดีนะ ที่วันนี้ฮุนฮุนไปเข้าค่าย ไม่งั้นถ้ารู้ว่ากูเข้าโรงพยาบาลล่ะร้องไห้แน่เลย”

                “เออ ก็จริง” ผมแกะผ้าห่มที่พันตัวพวกเราออกก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไป เข้าข้างในได้แล้ว”


                สงสัยจะกลัวผมเอาไม้เรียวก้านมะยมมาตี บุ๊คจึงยอมเข้ามาในห้องง่ายๆ ผมห่มผ้าให้มันก่อนจะเปิดทีวีหาข่าวดู

                แต่ข่าวที่เปิดเจอน่าสนใจทีเดียว...
                


                สวัสดีค่ะ ได้มีข่าวด่วนเข้ามา เนื่องจากมีการประท้วงเรื่องภาษีคนโสดที่หน้าตึกทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลาสี่เดือนแล้ว ทำให้ในวันนี้

                ... นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจยกเลิกภาษีคนโสดค่ะ


                “อะ-ไร-นะ!!!!!!!!!” พวกเราแหกปากร้องลั่นก่อนจะมองหน้ากัน


                เนื่องจากมีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันมากขึ้น ซึ่งส่วนมากเป็นเพื่อนกันและแต่งงานเพื่อหนีภาษี ดังนั้นจึงมีการประท้วงเกิดขึ้นของผู้ที่หาคนแต่งงานด้วยไม่ได้นั่นเองค่ะ
                

                สำหรับผู้ที่แต่งงานเพื่อหนีภาษี ตอนนี้สามารถทำเรื่องหย่าได้แล้วนะคะ จบข่าวด่วนค่ะ



                ผมมองหน้าบุ๊คด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม


                “มึงจะ... ไม่หย่ากับกูใช่ปะวะ”

                “ไม่” มันตอบนิ่งๆ ก่อนจะกดเปลี่ยนช่อง “มีอีกเรื่องนึงที่มึงไม่รู้นะชุน”

                “?”

                “กูจ้องหาเรื่องจะแต่งงานกับมึงมานานละ (._.) พอมีภาษีคนโสดเลยได้โอกาส”


                อะ-ไร-นะ!!!!!!!!!!!!!!


                “นี่มึงตอแหลกว่ากูอีกนะ” ผมเท้าคางมองหน้ามันก่อนจะแอบอมยิ้ม... บุ๊คมันก็ทุ่มเทกับเราเหมือนกันแฮะ

                “เออ! ก็อยากได้อ่ะ จะเอาคนนี้ เข้าใจปะ!

                “จ้าาา~” ผมหัวเราะที่มันทำท่าเหวี่ยง แต่ประโยคที่พูดมาคือแรดและตอแหลที่สุด... น่ารักที่สุดด้วยนะ

                “มานี่เลย! มาให้จูบสิบที!!” ดูทำเข้า โกรธกูมากดิ อยากจูบกูเฉยเลย

                “ไม่-ให้-จูบ!

                “ก๊าซซซซซซซซซซซซซซซ” บุ๊คทำท่าพ่นไฟเหมือนก๊อตซิลล่าในตำนานก่อนจะกระโจนออกจากเตียงมานอนตักผมบนโซฟา

                “ไรอีก จะอ้อนเอาอะไรอีก”

                “เอาชุน อิอิ ล้อเล่นนะ นี่อยู่ในโรงพยาบาล”
                

                นั่นไง ชอบพูดจาล่อแหลมจริงๆ นี่ไม่ใช่ฟิคเรทอาร์นะครับ นี่ฟิคเรทใสๆ (ที่ลงฉากฮุนฮานอย่างเปิดเผย =..=)
                

                “ง่วงยัง” ผมถามก่อนจะลูบหัวบุ๊คเบาๆ เจ้าเด็กดื้อพยักหน้าและหลับตาลงช้าๆ

                “ฝันดีนะชุน”

                “อื้อ ฝันถึงกูด้วยนะ” ผมพูดและคนฟังก็ยิ้มกว้าง...


                นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมร้องเพลงกล่อมบุ๊ค


                Next door, there's an old man who lived to his 90's 

                And one day, passed away in his sleep

                And his wife, she stayed for a couple of days

                And passed away
                

                บ้านข้างๆ... มีชายชราอายุเก้าสิบกว่าคนหนึ่ง

                วันหนึ่ง... เขาเสียชีวิตขณะที่กำลังหลับ

                ส่วนภรรยาของเขา... ก็มีชีวิตอยู่อีกสองสามวัน

                แล้วจึงเสียชีวิตตาม




                I'm sorry; I know that's a strange way

                To tell you that I know we belong

                That I know that I am

                I am, I am the luckiest



                ฉันขอโทษ มันคงเป็นการบอกรักที่แปลกมาก

                ที่จะบอกให้รู้ว่าเราเป็นของกันและกัน

                ที่จะบอกให้รู้ว่าฉันนั้น...

                ฉัน... ฉันโชคดีที่สุดในโลกเลย





                บางครั้ง... ผมว่าชีวิตคนเราก็ไม่ต้องเพ้อฝันถึงความรักที่สูงส่งหรอก อย่างพวก... เจ้าชายกับเจ้าหญิงต้องรักกันอย่างมีความสุข


                ผมว่า คนใกล้ตัวน่ะ... สร้างความสุขให้เราได้ดีที่สุดแล้ว



                ลองคุยกับพ่อแม่ดีๆ ซักครั้ง
                ลองคุยกับเพื่อนสนิทให้มากขึ้น...
                

               คนใกล้ตัวคนนั้นอาจจะเปลี่ยนโลกเราไปทั้งใบเลยก็ได้ :)

               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น