วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ภษคส : 4 B, every little thing about you is important for me.



4
B, every little thing about you is important for me.



                “ทำไมชุนมันยังไม่กลับ...” คนตัวเล็กในห้องเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น ร้อนรนยิ่งกว่าจะฟังประกาศผลเอนทรานซ์เสียอีกด้วยซ้ำ เขาชะเง้อมองสภาพอากาศด้านนอก... ไอ่เหี้ยเอ๊ย ทำไมฝนแม่งไม่หยุดตกซักที

                ถ้าจะออกไปตามหามันก็กลัวว่าจะคลาดกัน

                เคยอยู่ครั้งนึงที่ชุนออกไปตลาดแล้วฝนตก เขาตั้งใจจะถือร่มไปรับแต่ดันคลาดกัน กลับบ้านมาโดนด่าเป็นชุดเลย -_-;
                งั้นคราวนี้นั่งรออยู่ในบ้านก็ได้


                แกร๊ก
                เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นจนคนที่ร้อนรนอยู่ในห้องรีบวิ่งออกไปที่หน้าประตู


                ในหัวสมองตีกันยุ่งไปหมดเมื่อเห็นคนตัวสูงตรงหน้าตัวเปียกโชกอย่างกับไปดำน้ำในแม่น้ำฮันมา ผมที่ถูกเสยเพราะความเปียกไม่ได้ทำให้เซ็กซี่เลยแม้แต่น้อย เพราะใบหน้าซีดเซียวที่ดูเหมือนจะหนาวจับใจนั่นน่าถีบกว่าอะไรทั้งหมด


                พลั่ก!     
                ร่างเล็กที่ตัวแห้งสนิทผลักอกร่างสูงที่ตัวเปียกชุ่ม เขาจ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ


                “ออกไปแบบนั้นทำไม... ออกไปแล้วคิดว่าจะหาเจอรึไง ถ้าโดนรถชนขึ้นมาจะทำยังไง แล้ว... แล้วเคยคิดจะรักชีวิตตัวเองบ้างมั้ยฮะ!? กะอีแค่เชือกเส้นเดียวเนี่ยทิ้งๆ ไปก็ได้!” แบคฮยอนขึ้นเสียง ใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ...


                ไม่ได้โกรธที่ทำเชือกหาย
                แต่โกรธที่ไม่เคยรักตัวเองเลย


                “หาเจอ...” เสียงทุ้มแผ่วเบาดังสวนขึ้น เขาแบมือให้ดูเชือกเจ้าปัญหา “สุดท้าย... มันก็ตกอยู่ที่หน้าบ้านชุนนี่ว่ะ ขาดด้วย โดนกัดเละเลย”

                “ช่างมันเถอะ ทิ้งๆ ไปได้ละ” แบคฮยอนฉวยคว้าเอาเชือกรัดข้อมือไปทิ้งลงถังขยะโดยไม่คิดถึงระยะเวลาแห่งความผูกพันแลยแม้แต่น้อย

                “เฮ้ย!” ชานยอลค่อนข้างตกใจ ไอ่เชือกบ้าที่อุตส่าห์วิ่งไปตามหากลางพายุฝน... กลายเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งไปแล้วหรอ

                “ไปสระผม” ร่างเล็กจับข้อมือคนตัวสูงก่อนจะพาเดินเข้าไปในห้องน้ำ

                “ด... เดี๋ยว กูตามหาเชือกนั่นตั้งนาน มึงทิ้งง่ายๆ เลยหรอวะ มันไม่สำคัญแล้วรึไง” คนตัวสูงชักจะฉุน เขาหยุดเดินตามเสียดื้อๆ อยากจะฟังเหตุผลให้รู้เรื่อง

                แบคฮยอนกำมือแน่น นี่ถ้าไม่เห็นว่าพึ่งตากฝนมาจะจับไปนั่งด่าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด เขาหันหน้าไปทางคนตัวสูงที่ทำตัวดื้อแพ่งตั้งแต่เมื่อกี้

 
                “มึงสำคัญกว่า”
 
                ร่างเล็กจับให้คนตัวสูงเข้าไปนั่งในห้องน้ำ ถอดเสื้อยืดสีดำที่เปียกโชกออกก่อนจะเปิดฝักบัว มือเล็กไล้ชโลมไปที่เรือนผมสีน้ำตามเข้มที่ไปย้อมสีเดียวกันเมื่อเดือนที่แล้ว

                “กูสำคัญกว่า...”

                “...”

                “จริงหรอ” คนตัวสูงยังคงอึ้งนิ่ง แค่หนึ่งประโยค... สี่พยางค์... ที่หลุดออกมาจากปากของเพื่อนสนิทก็ทำเอาคิดไปไกล 

                ไกลมาก...
                คิดภาพแต่งงาน คิดภาพหัวเราะคิกคักข้างกัน คิดภาพบอกรักกันกลางทะเลสาบ

                “เออ” คนตัวเล็กขยี้หัวคนที่นั่งต่ำกว่าด้วยความหมั่นไส้ “ไอห่า ทำไมชอบทำให้กูเป็นห่วงอยู่เรื่อย ไหนบอกว่าโตแล้ว ไหนบอกว่ามีความคิดโตกว่ากู”

                “ขอโทษหน่า...” เขาพึมพำอุบอิบ รอยยิ้มค่อยๆ กระตุกที่มุมปากราวกับอยากจะหุบยิ้ม คนตัวเล็กบีบยาสระผมใส่มือก่อนจะชโลมบนหัวคนตัวสูงจนเกิดฟองฟอด

                “แล้วไอ้ไม้เรียวก้านมะยมนี่มึงตีกูได้คนเดียวใช่มะ กูตีมึงไม่ได้อีกใช่มะ เอาเปรียบนะเอาเปรียบ นี่แน่ะ!” แบคฮยอนบ่นไม่หยุดแถมยังขยี้หัวชานยอลซะแรง แต่คนถูกขยี้หัวแรงจนผมจะหลุดเป็นกระจุกนั่นก็ไม่ได้สนใจอะไร กลับหัวเราะร่าอารมณ์ดี

                “อื้อ กูตีมึงได้คนเดียว ฮ่าๆๆๆๆ”


                ไม้เรียวก้านมะยมเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ชานยอลเอาไว้ตีแบคฮยอนนานแล้ว วันไหนดื้อจนเกินเหตุหรือทำผิดที่อภัยให้ไม่ได้ เช่น กินเหล้าเมาแล้วไปอ้อนคนอื่นที่ไม่ใช่ชานยอล, กลับบ้านหลังสี่ทุ่ม, ไม่รักตัวเอง ชานยอลก็จะเป็นคนเดียวที่สามารถหยิบมาตีที่ก้นแบคฮยอนได้

                อายุขึ้นเลขอะไร... ก็ตีตามเลขนั้น


                ชานยอลถือคติว่า ไปขอลูกคนอื่นมาอยู่ด้วย ก็ต้องดูแลให้เป็นทั้งพ่อ ทั้งเพื่อน ทั้งพี่...
                แต่ก็อยากเป็นผัวมานานละเหมือนกัน *พึมพำเบาๆ ในห้วงสมอง*


                “หลับตานะ...” เสียงกระซิบแผ่วเบาขัดความคิดเหลิงๆ ของชานยอล เขาหลับตาตามคำสั่งก่อนที่กระแสน้ำจะไหลชโลมอยู่เหนือศีรษะ... นานแล้วนะที่แบคฮยอนไม่ได้สระผมให้

                “อาบน้ำให้ด้วยเด่ะ” ชานยอลลองกลั้นใจขอ พวกเขาไม่ได้อาบน้ำด้วยกันตั้งแต่เข้ามหาลัยและไม่รู้ว่าแบคฮยอนจะยังอยากอาบด้วยกันรึเปล่า       

                .
                .
                .

                “อาบเอง” เสียงเล็กแข็งๆ ตอบกลับมาก่อนจะปิดน้ำฝักบัว ผ้าขนหนูผืนโตถูกโยนมาให้ชานยอล แต่ดูเหมือนร่างสูงจะดื้อซะเหลือเกิน

                “อาบให้หน่อยดิ เนี่ย ปวดหัวจี๊ดๆ เลย” เอ้า อ้อนเข้าไป ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้ป่วยอะไรด้วยซ้ำ 

                “จริงหรอ O_O งั้นก็รีบอาบเองสิฟะ เดี๋ยวกูออกไปหาพารา” คนตัวเล็กร้อนรนทันทีและดูจริงจังขึ้นมาซะงั้น เขารีบคว้าข้อมือเล็กไว้ก่อนจะส่งสายตาปริบๆ

                “ไม่มีแรงจะอาบเองแล้วอ่า อาบให้หน่อยน้าๆ”

                “...”

                “มึงก็อาบด้วยดิ จะได้สดชื่น...”




                แล้วบุ๊คก็อาบน้ำกับชุนเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี...

                อะไรๆ ก็เติบโตขึ้นเยอะเลยเนอะ ////


                ไอ่ชุนก็นะ... โตขึ้นเยอะเลย
                ไอ่บุ๊คก็นะ... อวบอั๋นกำลังดี ไม่เสียแรงที่ขุนให้มันอ้วน

                งืมๆ อาบน้ำด้วยกันมันดีอย่างงี้นี่เอง...


**********


วันรุ่งขึ้น

                “ไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ สาบานได้ สาบานยี่สิบนิ้วว่าไม่ป่วยเลย” ชานยอลรีบพูดขณะที่แบคฮยอนกำลังเป่าผมให้ ก็เพราะชานยอลอ้อนให้สระผมให้อีกรอบน่ะสิ

                เห็นแบคฮยอนบอกว่าจะไปซื้อเชือกรัดข้อมืออันใหม่ที่ห้าง เขาก็อยากไปด้วย แต่แบคฮยอนบอกว่าห้ามไปเพราะเขา... ป่วย

                “ก็เมื่อวานมึงบอกว่าปวดหัวจี๊ดๆ ไม่มีแรงอาบน้ำไม่ใช่ไง๊”

                “ก็ใช่... แต่หายแล้วไง อาบน้ำกับบุ๊คก็หายตั้งแต่ตอนนั้นเลยไง” ชานยอลเต๊าะนิดหน่อยพอเป็นพิธี

                “อย่ามาเวอร์! เออ จะไปก็ไป แต่ถ้าป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็ดูแลตัวเองนะสัส กูจะไม่มารักษาไม่มาดูแลเลยคอยดู!” แบคฮยอนขู่เสียงดัง ได้ยินแบบนั้นคนฟังก็แอบหวั่นนิดๆ เขาลองเช็คอาการปวดหัวตัวเองก็พบว่าไม่น่าจะเป็นอะไรจริงๆ 

                “ไม่ป่วยจริงๆๆ ไปนะ เอากูไปด้วยนะ”

                “เออๆๆ”




                ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินมาที่ห้างใกล้บ้าน โชคดีที่ชานยอลมองการณ์ไกลตั้งแต่จะย้ายเข้ามาในคอนโดแห่งนี้ เพราะเขาเห็นพื้นที่รกร้างอยู่ข้างคอนโดและมันค่อนข้างกว้างใหญ่

                เขาเลยตัดสินใจซื้อคอนโดนี้ทันทีเพราะรู้ว่าอีกไม่นานแถวนี้จะต้องเจริญ
                และมันก็ใช่อย่างที่เขาคิด เพราะไม่นานนักห้างสรรพสินค้าก็ถูกแทนที่พื้นที่รกร้างแห่งนั้น


                “กูว่าจะซื้อเชือกแบบเก่าแหละ” แบคฮยอนพูดพลางเอานิ้วชี้จิ้มไปที่ปากเหมือนใช้ความคิด เขากวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีร้านขายอะไรอาร์ตๆ อย่างนั้นเลย

                “ซื้อกำไลแพตตินั่มไปเลยดิ จะได้ทนๆ” ชานยอลออกความเห็น

                “บ้าหรอ แพงจะตายชัก”

                “เดี๋ยวกูออกให้เพราะกูทำมันขาด แล้วยังไงมันก็ต้องเป็นของกูอยู่ดีใช่ปะล่ะ” ชานยอลกลายเป็นคนตัดสินใจ เขาพาคนตัวเล็กไปที่ร้านขายเครื่องประดับแพตตินั่มแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเครื่องประดับทั้งสร้อยคอ แหวน กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้าเต็มไปหมด

                “เดี๋ยวกูเลือกให้เอาป่าววว~” แบคฮยอนเข้ามากระแซะถามก่อนจะชะโงกไปที่ตู้กระจกกำไลข้อมือ เขามองข้อมือใหญ่ๆ ของชานยอลแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาเซ็งๆ


                จะหากำไลเข้ากับมันได้มั้ยเนี่ย -3-

                “ไม่ทราบว่าให้ใครใส่คะ” พนักงานสาวสวยเข้ามาให้คำปรึกษา แบคฮยอนชี้ไปที่คนตัวสูงข้างๆ ก่อนจะมองหากำไลต่อ

                “รับเป็นกำไลข้อมือคู่เลยมั้ยล่ะค่ะ จะได้ประหยัดคูณสอง” พนักงานยิ้มให้อย่างจริงใจ

                “เอ่อ ผมกับมันไม่ใช่แฟนกันนะครับ” แบคฮยอนรีบแก้ตัว แต่ชานยอลก็ยิ้มมุมปากก่อนจะพูดขัด

                “อีกไม่นานก็เป็นครับ เอาแบบกำไลคู่เลย ^__^” ชานยอลพูดพลางยิ้มหวาน ไม่กล้ามองหน้าคนตัวเล็กที่ตอนนี้คงจะหงุดหงิดขั้นสุด


                ถ้าไม่ติดว่าจีบไอ่ชุนอยู่ กูด่ามันกลางร้านไปละๆๆๆๆๆๆ


                “งั้นแนะนำอันนี้เลยค่ะ เอ... มันดีไซน์มาเป็นแบบผู้ชายกับผู้หญิงนะคะ ของผู้ชายจะหนากว่าแล้วก็จะดูใหญ่กว่า ส่วนของผู้หญิงจะมีสายโซ่เล็กๆ เชื่อมกำไลแทนน่ะค่ะ แล้วก็จะเล็กกว่าด้วย” พนักงานสาวเริ่มลังเลที่จะโฆษณากำไลคู่ หล่อนมองผู้ชายสองคนตรงหน้าเหมือนชั่งใจก่อนจะหยิบกำไลออกมาให้ดู
               
                เมื่อกำไลทั้งสองวงปรากฏตรงหน้า คนทั้งคู่ก็มองหน้ากันราวกับถามความเห็น

                “ชอบมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนข้างตัว

                “ชอบ แต่กูขออันผู้ชายนะๆ” แบคฮยอนกระโดดหยองๆ เหมือนชอบกำไลตรงหน้าเสียเหลือเกิน


                ได้ไงวะ กูสิต้องใส่กำไลผู้ชาย

                คนตัวสูงใช้เวลาแค่วินาทีเดียวคิดอะไรเหี้ยๆ ขึ้นมาได้ 

                เขาหยิบบัตรเครดิตให้พนักงานก่อนจะกำชับให้สลักชื่อ ‘Buk’ ที่กำไลผู้ชาย แล้วก็สลัก ‘Chun’ ที่กำไลผู้หญิงนั่นแหละ หลอกล่อให้มันตายใจก่อน หึหึ
                

                “หูยยยยย สวยจัง ใส่เลยนะชุนนะ” แบคฮยอนเมื่อได้กำไลมาก็กระโดดดีใจ หยิบกำไล Chun ให้เพื่อนก่อนที่ตัวเองจะใส่กำไล Buk ไว้

                “บุ๊ค... มึงใส่กำไล Buk ไม่รู้สึกแปลกๆ หรอวะ?” ชานยอลเริ่มปฏิบัติแผนการ ทำเสียงให้จริงจังไว้ก่อน มันจะได้จริงจังกลับ

                “ห้ะ? ทำไมวะ”

                “มึงใส่กำไลตัวมึงเองแล้วมึงจะนึกถึงกูยังไง” มุมปากของร่างสูงกระตุกเบาๆ ด้วยความเจ้าเล่ห์ ร่างเล็กที่ยังคงเดินหน้าก็ถึงกับชะงัก

                “เออเนอะ... งั้นกูต้องใส่กำไลวงนั้นหรอถึงจะมี Chun อ่ะ”

                “อ่ะถูกต้อง” ขอบคุณสวรรค์ที่แบคฮยอนฉลาดกับเค้าซักที

                “เฮ้ย O_O!! มึงวางแผนมาแล้วใช่มั้ยไอ่สัสชุน อิห่าาาา งั้นกูต้องใส่กำไลผู้หญิงใช่มั้ยห้ะๆ มึงมันอย่างงี้ทุกที” แบคฮยอนที่รู้ตัวว่าโดนแกล้งแน่ๆ ก็โวยวายออกมาทันที

                “จะแลกไม่แลก อยากเจอตัวเองอย่างเดียวก็ตามใจ...”

                “ไม่เป็นไร กูมองท้องฟ้ากูก็เจอมึง แบร่!!” แบคฮยอนแลบลิ้นปลิ้นตา เขาเห็นกำไลตัวเองตลอดไปก็ได้ ใครจะไปสน

                “อ้อหรอ... แต่กูไม่รู้จะนึกถึงมึงยังไงนะ (._.) เนี่ย เห็นแต่กำไลชื่อตัวเอง เฮ้อ” ชานยอลพูดงุ้งงิ้งเหมือนไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ส่วนคนที่มีทิฐิมากอย่างแบคฮยอนก็ไม่อาจจะทนได้

                ...

                “ก... ก็ได้! แลกมาเด่ะ! แม่ง! นี่วางแผนแล้วสินะ เลวๆๆ” แบคฮยอนแกะกำไลแพตตินั่มสีเงินของตัวเองออกก่อนจะยื่นให้ร่างสูงที่ถือกำไลไว้นานแล้ว

                “บุ๊ค มึงใส่ข้างขวานะ กูจะใส่ข้างซ้าย” ชานยอลสั่ง และร่างเล็กก็ทำตามทันทีก่อนจะถาม

                “ทำไมอีกอ่ะ”

                “นี่ไง” ร่างสูงกำมือขวาของคนตัวเล็กไว้ก่อนจะชูขึ้น เขาหักข้อมือเพื่อให้กำไลแพตตินั่มทั้งสองวงกระทบกันดังกึก “เวลาจับมือกันมันจะได้กระทบกันแบบนี้ไง”

                “อื้อ...” ถ้าเป็นคนอื่นแบคฮยอนคงด่าไปแล้วว่าประสาท บ้าบอ ทำทำไม ทำไปเพื่อใคร แต่ไม่รู้สิ... พอชุนบอกอะไร ก็อยากจะทำตาม ไม่ค่อยได้เถียงหรอก

                “งั้น...”
                “...”
                “เดินจับมือกันเนาะ” ชานยอลพูดพลางยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะขยี้หัวเบาๆ

                “อื้อ...” แบคฮยอนรับคำก่อนจะปล่อยให้ตัวเองถูกเพื่อนจับมืออยู่อย่างนั้น...


                เพื่อนกันเค้าจับมือเดินในห้างหรอวะ

                แปลกๆ เนอะ


**********


ขณะเดียวกัน

                ก๊อกๆๆ
                คยองซูที่นั่งดูทีวีแบบขี้เกียจขั้นสุดในวันหยุดต้องลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาเดินเตาะแตะไปที่หน้าห้องก่อนจะเจอ...


                “จงอิน =__=

                “ผมมาชวนพี่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันอ่ะ” ร่างสูงที่แต่งตัวเต็มยศเหมือนพร้อมไปเต็มที่ส่งเสียงอ้อนแบบเป็นทางการ จะให้มาอ้อนเหมือนตอนเป็นแฟนกันหรอ... โดนถีบตายก่อน

                “ไม่ไป” ร่างเล็กดันประตูจะปิดเหมือนเดิม แต่คนด้านนอกก็เอาเท้ามาขัดประตูไว้

                “พี่ ใจเย็น... ไม่ได้ไปเดท แค่กินข้าว” จงอินเอามือผลักประตูออกอย่างนุ่มนวลเพราะกลัวว่าจะกระแทกคนข้างใน

                “มึงดูสภาพกูกับมึงซิ ต่างกันฟ้ากับเหว” คยองซูพูดถึงเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้นของตัวเอง แล้วเปรียบเทียบกับเสื้อเชิ้ตราคาแพงกับรองเท้าหนังเป็นหมื่น กลิ่นน้ำหอมที่จงอินใส่มายังคงเป็นกลิ่นเดิมตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว...


                มันไม่คิดจะเปลี่ยนน้ำหอมบ้างรึไงวะ


                “พี่ก็ไปเปลี่ยนดิ”

                “ไม่” คยองซูยังคงดื้อดึง เขาตั้งท่าจะปิดประตูใส่อีกรอบ แต่ครั้งนี้คนตัวสูงด้านนอกไม่ยอมง่ายๆ เขาดันประตูก่อนจะเข้ามายืนในห้องแล้วปิดประตูให้เสร็จสรรพ

                “งั้นเดี๋ยวผมซื้อมาทำที่ห้องพี่ เอาปะ” 

                “ไม่เอา” คยองซูปฏิเสธลูกเดียว ใจหนึ่งก็อยากจะให้โอกาส แต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าจงอินจะมาไม้ไหน

                “พี่ก็รู้ใช่มะว่าผมทำอาหารเก่ง” จงอินพูดถึงความหลัง “ที่ผมทำข้าวผัดกิมจิของโปรดพี่ให้กินตอนนั้น...”

                “ไม่รู้ จำไม่ได้” คยองซูขัด เขาเดินกลับไปนั่งที่โซฟาก่อนจะนอนดูทีวีเหมือนเดิม ไอ้ครั้นจะไล่มันให้ออกไปจากห้องก็คงยาก เพราะมันเป็นคนหน้าด้านหน้าทนมาแต่ไหนแต่ไร ก็เลยปล่อยเลยตามเลย จะทำอะไรก็ทำ...


                เขาได้ยินเสียงคนตัวสูงออกไปจากห้องเขา ไม่นานนักก็เดินกลับมาพร้อมถุงของสดถุงใหญ่

                และมันก็ไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับบ็อกเซอร์แล้วด้วย


                เหอะ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหวั่นไหวรึไง
                ...


                จงอินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะบอกกับตัวเองว่าสู้ๆ และที่พี่เค้าจะเกลียดเราตอนนี้ก็ถูกแล้ว ร่างสูงแกะกล่องกิมจิออกก่อนจะเริ่มตั้งกระทะ เขาหยิบกระทะมาจากห้องตัวเองด้วยนะนั่น กะว่าถ้าทำเสร็จแล้วก็จะเอาไปล้างที่ห้องตัวเอง ไม่อยากรบกวนน้ำยาล้างจานหรือน้ำในห้องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

                เขาเทน้ำมันลงไปในกระทะที่ร้อนฉ่าก่อนจะใส่กิมจิกับเนื้อหมูสันในสไลด์ลงไป แม่เคยสอนว่าหมูสันในนุ่มที่สุด เขาผัดให้มันคลุกเคล้าเข้ากันก่อนจะใส่เครื่องปรุงรสเล็กน้อย

                ข้าวที่กินเหลือมาหลายวันนับเป็นวัตถุดิบชั้นดี เขาเอาข้าวที่กินไม่หมดตั้งแต่เมื่อวานออกมาก่อนจะใส่ตามลงไป สีขาวๆ ของข้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงจากกิมจิ และวัตถุดิบทั้งหลายในกระทะก็เริ่มมีสีสันที่บ่งบอกว่าพร้อมแล้วที่จะให้ใครบางคนได้ลิ้มลอง

                แต่ข้าวผัดกิมจิจงอินสไตล์ยังไม่พร้อมหรอกนะ เพราะมันต้องใส่ชีสลงไปด้วย ให้มันหนึบหนับติดกระทะ... นั่นแหละ ของโปรดพี่โด้เขาล่ะ

                และหัวใจสำคัญในการกินข้าวผัดกิมจิคือ... ต้องกินจากในกระทะและต้องกินด้วยกัน โดยห้ามใช้จานแยกเด็ดขาด



                “พี่โด้ ข้าวผัดกิมจิเสร็จแล้วคร้าบบบ~” จงอินพยายามบอกตัวเองให้ร่าเริงเข้าไว้ เขาไม่เคยคิดจะขอกำลังใจหรือขอให้ใครมาเอาใจช่วย...


                เขาขอแค่ได้เห็นคยองซูเปิดใจให้เขาทีละนิด ก็นับว่าเป็นกำลังใจชั้นยอดแล้ว


                คยองซูเดินอาดๆ เข้ามาที่โต๊ะรับประทานอาหาร เขาเงยหน้ามองคนผัดอย่างลังเลใจ

                ถ้ากิน... ก็จะต้องกินจนหมดแน่ๆ
                ถ้าไม่กิน... ก็ออกจะใจร้ายไปหน่อย
               
                จงอินนา... พี่ควรทำยังไงกับคนอย่างนายดี
                ...

                “ด... เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนละกันนะพี่” จงอินพูดตะกุกตะกัก เขาพอจะรู้ว่าคยองซูไม่อยากจะกินร่วมกระทะกับเขาเท่าไหร่หรอก นี่ตั้งใจว่าจะปล่อยให้พี่เขานั่งกินไปคนเดียวแล้วเราค่อยมาเอากระทะคืนทีหลังก็แล้วกัน

                “ไปเอาจานมาใส่สิ” เสียงเล็กแต่ทรงอำนาจพูดสั่ง จงอินแทบจะกระโดดโลดเต้นเมื่อได้ยินคำอนุญาต เขาวิ่งไปที่ห้องของตัวเองเพื่อไปหยิบจานก่อนจะวิ่งกลับมา

                “แหะ ผมเอานิดเดียวพอ เดี๋ยวพี่กินไม่อิ่ม” จงอินวางจานลงบนโต๊ะให้คยองซูตักข้าวจากในกระทะใส่ คนตัวเล็กจับทัพพีก่อนจะตักให้จงอินไปครึ่งหนึ่งพอดีพลางพูดสั่งอีกรอบ

                “นั่งกินตรงนี้แหละ” 

                “ครับ” ไม่รู้ว่าจงอินกลายเป็นคนพูดง่ายว่าง่ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขานั่งกินข้าวผัดกิมจิในจานตัวเองไปเงียบๆ โดยไม่ได้รับรสความอร่อยของข้าวในจานเลยแม้แต่น้อย ทำไงได้... ตอนนี้ลิ้นปิดความรู้สึกรับรสไปหมดละ ตื่นเต้นชิบหาย กลัวจะทำอะไรพลาด

                “อร่อยดีนะ” คนตัวเล็กเอ่ยปากชมเสียงแข็ง ไม่อยากทำให้มันเหลิงแต่ก็ไม่อยากทำให้มันน้อยใจ

                “อร่อยเหมือนเดิมรึเปล่าครับ...” เสียงทุ้มถามอย่างแผ่วเบา แววตาคาดหวังคำตอบว่าเหมือนเดิมเปล่งประกายออกมาจนคยองซูสัมผัสได้ 

                “กูจำไม่ได้ว่าเหมือนเดิมมันเป็นยังไง” คยองซูเลี่ยงที่จะตอบ เขาอยากจะลุกมาตีปากตัวเองเสียตอนนี้ ไม่น่าไปชมมันแต่แรกเลยจริงๆ

                “ครับ” และเป็นอีกครั้งที่จงอินว่าง่าย ตอนนี้เขายังตัดพ้อน้อยใจไม่ได้ ต้องรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์แค่ไหน


                กริ๊งงงงงงง!
                โทรศัพท์ของคยองซูดังขัดความเงียบ ไม่ต้องบอกคยองซูก็อยากรับแทบขาดใจเพราะเกลียดความอึดอัดนี่เหลือเกิน

                จงแดบ้า ฮี่ฮี่ :>

                “ฮัลโหล”

                (เฮ้ยโด้ อยู่ไหนวะ) บรรยากาศของปลายสายค่อนข้างโหวกเหวก ทำให้คยองซูรู้ว่าเขาอยู่ข้างนอก

                “อยู่บ้านอ่ะ”

                (ทำไรอยู่วะ ไปกินข้าวด้วยกันปะๆๆ)

                “อยู่กับบอสมึงอ่ะ” คยองซูพูดพลางเอามือเท้าคางเซ็งๆ จงอินเงยหน้ามองคนตรงข้ามนิดหน่อยแต่ก็กินข้าวตัวเองไปเงียบๆ

                (ฮ... ฮะ O_O? บอสจงอินที่เป็นแฟนเก่ามึงอ่ะนะ!?)

                “โหยอิห่านี่ เรื่องข่าวอะไรเหี้ยๆ นี่เร็วจังนะ เออ มันนั่นแหละ” คยองซูพูดพลางเขี่ยอาหารในกระทะไปมา โดยไม่ได้เงยหน้ามาดูคนที่ถูกพูดถึงเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังยิ้มแก้มปริ

                (อ... อ่อ งั้นไม่รบกวนแล้วก็ได้เว่ย)

                “เฮ้ย คุยได้นะ” คยองซูรีบพูดเมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังจะวางสาย

                (เออน่ะ ไม่เป็นไร กูไปหาไรแดกละ) จงแดพูดจบก็วางสายทันทีโดยไม่ได้บอกลากันให้เรียบร้อย คยองซูวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ข้างตัวก่อนจะถอนหายใจ ส่วนจงอินก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวผัดกิมจิในส่วนของตัวเองไปเงียบๆ จนกระทั่งสังเกตว่าข้าวในกระทะของคยองซูหมดลงไปพร้อมๆ กับของตัวเอง

                ร่างเล็กหยิบกระทะแล้วเดินไปที่อ่างล้างจาน แต่จงอินก็เข้ามาขวาง

                “พี่ เดี๋ยวผมกลับไปล้างที่ห้องให้”

                “ล้างนี่แหละ จะทำให้มันยุ่งยากทำไม” คยองซูดื้อดึง เอาช้อนมาขูดคราบเศษอาหารออกก่อนจะเปิดน้ำให้ไหลชะล้างกระทะ

                “ผมช่วยล้าง... ได้มั้ย” ประโยคเสนอความช่วยเหลือกลายเป็นประโยคขอร้อง คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงหยิบจานไปล้าง


                ยามใดที่มือของทั้งคู่โดนกัน... มันเหมือนไฟฟ้าสถิตกระจายไปทั่วร่างกาย
                เหมือนตอนนั้น


                ...


                ฮ่าๆๆๆ จงอินหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!’ เสียงเล็กหวีดร้องลั่นเมื่อถูกคนตัวสูงกว่าอุ้มพาดบ่า

            ผมบอกพี่แล้วใช่มั้ยว่าอย่าล้างจานๆ เดี๋ยวผมล้างเอง อย่างนี้ต้องทำโทษนะ!’  มือหนาตีเข้าที่ก้นเล็กสองสามทีอย่างหมั่นเขี้ยว แต่คนถูกตีกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

                ฮ่าๆๆๆๆ ปล่อยพี่ลงเดี๋ยวนี้นะ พี่จะช่วยล้างบ้างไม่ได้รึไง!?’        

                ไม่เอา ไปนั่งดูทีวีไป เดี๋ยวมือด้าน คนตัวสูงเสียงอ่อย ก่อนจะยอมวางคนตัวเล็กลงบนพื้น

                หู่ยยยย มือมันด้านมาตั้งนานแล้วเนี่ย นะๆๆ ให้ไปล้างนะจงอินนาคยองซูถูมือไปมาแถมทำแก้มพองลมซะน่าจับจูบ 

                ถ้ามือด้านขึ้นมาผมไม่รู้ด้วยนะ จงอินเบะปากก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กยืนล้างจานกองโต เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าของแฟนรุ่นพี่ทำเอาจงอินอยู่ไม่สุข มือหนารีบเข้าไปช่วยล้างทันที

                พี่ล้างเองได้หน่า

                ผมว่าง ไม่มีอะไรทำ จงอินปากไม่ตรงกับใจ แต่คนฟังก็พอจะรู้ความหมายที่แท้จริง รอยยิ้มเล็กๆ ผุดบนใบหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะล้างจานด้วยกัน

                หลังมือของทั้งสองชนกันนิดหน่อย...
                ร่างสูงยิ้มกริ่ม คว้ามือคนตัวเล็กไว้ก่อนจะลูบไปมาอย่างรักใคร่

                ปล่อยซี่ อย่างนี้จะล้างเสร็จมั้ยหื้ม? คยองซูพึมพำ ก่อนจะสะบัดมือตัวเองออกและล้างจานต่อ 

                คราวหลังไม่ต้องล้างแล้วนะ ผมล้างเอง

                ฮึ่ย สั่งจังเลย คอยดูเถอะ เดี๋ยวซักวันก็จะต้องมาล้างด้วยกันอีก


                ...
                เดี๋ยวซักวันก็จะต้องมาล้างด้วยกันอีก


                คำพูดที่คยองซูเคยพูดไว้ย้อนกลับเข้ามาในหัวของทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้ก็กำลังล้างด้วยกันอยู่อย่างที่พูดไว้จริงๆ...

                คยองซูผละออกจากกองล้างจาน ล้างมือให้สะอาดก่อนจะเดินหนีไปที่ห้องนั่งเล่น ไม่อยากให้ความรู้สึกเก่าๆ เข้ามาแทรกในหัวแม้แต่นิดเดียว ทิ้งให้คนตัวสูงยืนล้างจานพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ... พี่เค้าคงจะนึกคำพูดตัวเองออกสินะ

                หลังจากที่ล้างเสร็จ ร่างสูงถือกระทะและอุปกรณ์เข้าครัวของตัวเองไว้ในมือก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว เห็นร่างเล็กนอนอืดอยู่บนโซฟาก็นึกขำ... ถ้าเป็นแต่ก่อนคงวิ่งเข้าไปฟัดแล้วแหละ

                “พี่ ผมกลับแล้วนะ”

                หวังให้เจ้าของห้องรั้งเขาไว้บ้าง...
                ดูทีวีด้วยกันก่อนสิ... นั่งพักเหนื่อยก่อนสิ...

                “อืม รีบไปซะ” แต่เจ้าของห้องก็ไม่ได้รั้งแถมยังไล่ให้ไปเร็วๆ อีกต่างหาก คนตัวสูงพยักหน้ากับตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องไป...

                อย่างน้อยพี่เค้าก็เปิดใจให้ 1% แล้วนะ
                สู้ๆ


 **********


หลายวันถัดมา

                ทุกวันหลังสองทุ่ม เพื่อนสนิทสองคนจะมานั่งกันอยู่ที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น บางวันก็ดูข่าว บางวันก็ดูละคร บางวันก็เช่าหนังมาดู บางวันก็เล่นเกมเศรษฐีโดยโกงเงินธนาคารกันอย่างเมามันส์

                แต่วันนี้พิเศษหน่อย


                “ไอสาสชุนนนนนนนนน!!! มึงเล่นโกงอย่างงี้มึงต่อยหน้ากูเลยดีกว่า” แบคฮยอนโวยวายลั่นเมื่อนิ้วโป้งของเขาถูกเกี่ยวด้วยนิ้วชี้ที่เผลอเด้งออกมาจากมือชานยอล

                “งั้นต่อย” ชานยอลเงื้อหมัดก่อนจะค้างไว้ที่แก้มของแบคฮยอน ห่างเพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น และแบคฮยอนก็ดูตกใจเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะต่อยเขาจริงๆ

                “จะต่อยกูจริงหรอ (._.)

                “ใครบอกว่าจะต่อยล่ะค้าบบบบบ หืมมมมม” ชานยอลเอากำปั้นของตัวเองถูไปที่แก้มนุ่มนิ่มหยุบหยับของแบคฮยอนก่อนจะหมุนเหมือนควงสว่าน ทำเอาคนถูกเล่นแก้มส่งสายตาค้อนขวับ

                “เริ่มใหม่เลยมึง กูบอกว่าห้ามใช้ขาเตะ มึงใช้แค่นิ้วโป้งอย่างเดียวดิวะ” แบคฮยอนผละมือออกก่อนจะเริ่มเล่นใหม่


                พวกเขาเล่นต่อยมวยด้วยนิ้วโป้งกันอยู่น่ะสิ
                ใครแพ้ต้องทำตามคำขอผู้ชนะซะด้วย งานนี้เลยเอาหัวเป็นเดิมพันกันเลยทีเดียว


                “คราวนี้แหละ!!” แบคฮยอนร้องออกมาเมื่อเห็นว่านิ้วโป้งตัวเองอยู่เหนือนิ้วโป้งของอีกฝ่าย ก่อนจะกดให้นิ้วโป้งชานยอลลงไปนอนราบ


                กริ๊งงงงงงงง!!

                เสียงโทรศัพท์มือถือของแบคฮยอนดังขัดจังหวะจนเขาตกใจ เผลอปล่อยนิ้วโป้งออก และชานยอลก็ใช้จังหวะนี้เอานิ้วโป้งของตัวเองกดนิ้วโป้งแบคฮยอนลงไป
                

                “นี่ไม่ได้โกงด้วยนะ ห้าสี่สามสองหนึ่ง... แพ้อีกแล้วนะบุ๊ค วันนี้อาบน้ำให้กูดั้ว -^-” ชานยอลได้ทีก็รีบขออะไรแปลกๆ

                “โอ๊ย ขอห่าไรไม่รู้ เดี๋ยวกูไปรับโทรศัพท์ก่อนสัส คิดใหม่เลยๆ” แบคฮยอนชี้หน้าคนตัวสูงก่อนจะเดินไปที่โทรศัพท์มือถือตัวเอง

                ป๋าจงแด
               
                “อะไรของมึง” แบคฮยอนรับโทรศัพท์หงุดหงิด อิห่านี่จะโทรมาทำไมตอนดึกๆ ดื่นๆ

                (แบ๊คคคคคคคคคคคค~ เมิงมาหากูหน่อยเด่ะะะะะ) เสียงมึนๆ เมาๆ ของเพื่อนประกอบกับเสียงจังหวะเพลงดังกระหึ่มในผับทำเอาแบคฮยอนตกใจ

                “โห ผับสมัยนี้เปิดตั้งแต่สามทุ่มเลยรึไง ไอ่เหี้ย จะให้กูไปยังไง เดี๋ยวเชี่ยชุนตีกู!” แบคฮยอนเอามือป้องปากเพราะกลัวชานยอลจะได้ยิน

                (มาเหอะะะะะะ~ กูม่ายหวายล้าวววว~ กูเจ็บๆๆๆ เจ็บที่หัวจายยยย)

                “เป็นเหี้ยอะไร๊ T^T

                (กูว่าจาบอกเมิงหลายวันล้า แต่กูก็ม่ายด้ายบอก)

                “...”

                (กูชอบไอ่ห่าโด้ว ชอบม๊ากกกกมากกกก แต่แม่งงงง แม่งต้องรีเทิร์นกับแฟนเก่าแน่ๆ เลยอ่ะเมิงงง) คำสารภาพของจงแดทำเอาแบคฮยอนตกใจ

                “หลังห้าทุ่ม มึง... หลังห้าทุ่ม กูจะไปหามึง ผับเดิมนะจงแดนะ”

                (เออออออ มาวายๆ นะ TT____TT ร้องห้ายคนเดียวแม่งเหงาสาสสสส)

                “ใจเย็นๆ แค่นี้นะ” แบคฮยอนรีบวางสายเมื่อเห็นว่าชานยอลกำลังจะเดินมาทางนี้ เขาซ่อนมือถือไว้ข้างหลังก่อนจะยิ้มกว้าง

                “คุยกับใครรรรร” ผัวถาม เอ๊ย เพื่อนสนิทถาม

                “จงแดน่ะ มันโทรมาบอกว่าปิดงบบัญชีไม่ได้ พรุ่งนี้ให้ไปเร็วหน่อย” แบคฮยอนตอแหลได้อย่างแนบเนียนจนชานยอลเชื่อสนิทใจ เขาจับมือแบคฮยอนให้เข้าไปในห้องน้ำก่อนจะถอดเสื้อตัวเองออก

                “อาบให้กู~” ชานยอลยิ้มเผล่จนคนตัวเล็กที่เกลียดการอาบน้ำให้มันที่สุดต้องยอมทำ... ให้มันตายใจไปก่อนเถอะ มันจะได้นอนเร็วๆ แล้วเขาก็จะได้ออกไปหาจงแดได้ -3-

                คนตัวเล็กที่ยังใส่เสื้อผ้าครบถ้วนถูหลังและลำตัวท่อนบนให้ร่างสูง ส่วนท่อนล่างให้มันทำเอง ไม่งั้นภาพที่เขานั่งยองๆ ลงไปข้างล่างมันจะดูส่อเกินไป -w-

               
                “นอนได้แล้วหน่า” หลังจากอาบน้ำเสร็จจนได้เวลานอน (สี่ทุ่ม) ชานยอลก็จับให้แบคฮยอนมานอนท่าเดิมๆ ท่าประจำ... แต่ครั้งนี้แบคฮยอนมานอนง่ายๆ แถมยังเงียบกริบ

                “...”

                “ง่วงหรอบุ๊ค... งั้น กู๊ดไนท์ ฝันถึงกูด้วย” และเขาก็พูดประโยคเดิมๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในระยะเวลาอันสั้นเพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงาน

                ...

                คนตัวเล็กลืมตาเมื่อสัมผัสได้ว่าลมหายใจของชานยอลสม่ำเสมอและดูเหมือนจะหลับไปแล้ว เขาค่อยๆ แกะมือหนาที่โอบเอวตัวเองอยู่ก่อนจะเดินย่องๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่

                ขวดน้ำหอมหลากกลิ่นหลายรูปทรงวางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด ชานยอลนั่นแหละเป็นคนซื้อมา แล้วยังบอกว่าคนเราแต่ละวันอารมณ์ไม่เหมือนกัน ถ้าอยากจะร้อนแรงแต่มีน้ำหอมเย็นๆ แค่ขวดเดียวก็เซ็งตาย

                แบคฮยอนหยิบ Hot Water ของ Davidoff ขึ้นมาฉีด เพราะกลิ่นของมันฮอทสมชื่อจริงๆ เหมาะกับการไปผับที่สุด คนตัวเล็กรีบวิ่งออกจากห้องก่อนจะหยิบกุญแจรถและมือถือไปด้วย



                ...

                คนตัวสูงลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงกุกกักในห้องแถมอ้อมแขนของตัวเองก็ว่างเปล่า กลิ่นน้ำหอม Hot Water ที่เขาคุ้นเคยก็ลอยฟุ้งอยู่ในห้อง


                “หึ... ไม่ได้ตีมึงนานแล้วเหมือนกันนะบุ๊ค”
               
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น